{"title":"ปัญหาการกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอมีอำนาจในการกำกับดูแล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายเทศบาล","authors":"เอกรินทร์ กุภาพันธ์, ตรีเพชร์ จิตรมหึมา","doi":"10.60027/iarj.2024.274854","DOIUrl":null,"url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: เทศบาลเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอแล้วแต่กรณี โดยผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจสั่งให้นายกเทศมนตรีรองนายกเทศมนตรี พ้นจากตำแหน่ง การกระทำของผู้กำกับดูแลจึงมีลักษณะเป็นคำสั่งทางปกครอง ซึ่งมีประเด็นที่ควรศึกษาถึงเหตุดังกล่าวว่าควรจะใช้หลักเกณฑ์ใด หรือควรให้อำนาจแก่ผู้กำกับดูแลมากน้อยเพียงใดในการกำกับดูแลเทศบาลจึงจะเหมาะสมกับหลักความเป็นอิสระ (Autonomy) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยพิจารณาหลักการกำกับดูแล รวมถึงการใช้ดุลพินิจของผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการพิจารณาและสั่งให้นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี พ้นจากตำแหน่ง เพื่อหาแนวทางและนิติวิธีที่เกี่ยวกับรูปแบบการกำกับดูแลองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น (เทศบาล) ที่เหมาะสมกับประเทศไทยให้มีความเป็นอิสระตามเจตจำนงของรัฐธรรมนูญ \nระเบียบวิธีการวิจัย: วิจัยนี้เป็นการศึกษาในเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ได้แก่ กฎหมาย หนังสือ วารสารวิชาการ บทความวิชาการ วิทยานิพนธ์ เอกสารงานวิจัย รวมทั้งข้อมูลเอกสารต่าง ๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ นำมาวิเคราะห์และเสนอแนะตามประเด็นวัตถุประสงค์การวิจัย\nผลการวิจัย: การพิจารณาวินิจฉัยสั่งการของผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 73/1 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ควรให้องค์กรตุลาการหรือศาลปกครองเข้ามามีบทบาทในการพิทักษ์สิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญรับรองให้ ทั้งนี้ตามมาตรา 249 เพราะเหตุที่ว่าองค์กรตุลาการเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐและเป็นกลางไม่ได้ มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ ในเรื่องของการบริหารงานของเทศบาล ดังนั้น การให้ศาลปกครองชั้นต้นเข้ามาตรวจสอบและมีคำสั่งหรือคำพิพากษา กรณีที่นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี จงใจทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่อันจะเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อย ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้กับกับดูแลเป็นผู้ยื่นฟ้องคดี โดยคดีดังกล่าวควรกำหนดเป็นคดีปกครองพิเศษ จึงจะสอดคล้องกับหลักการการกำกับดูแลต้องทำเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นหรือประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนรวม\nสรุปผล: ผลการวิจัยสรุปได้ว่าเพื่อให้เกิดความเป็นอิสระของเทศบาลอย่างแท้จริงและประกันหลักการการกำกับดูแลต้องทำเพียงเท่าที่จำเป็นควรยกเลิกพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 72 มาตรา 73 และมาตรา 73/1 เพื่อให้กรณีการสั่งให้นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี พ้นจากตำแหน่งไม่อยู่ภายใต้อำนาจขององค์กรของรัฐฝ่ายปกครองกล่าวคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจในการฟ้องคดีปกครองพิเศษต่อศาลปกครองชั้นต้นที่มีเขตอำนาจ ทั้งนี้ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"21 8","pages":""},"PeriodicalIF":0.0000,"publicationDate":"2024-04-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":"0","resultStr":"{\"title\":\"ปัญหาการกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอมีอำนาจในการกำกับดูแล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายเทศบาล\",\"authors\":\"เอกรินทร์ กุภาพันธ์, ตรีเพชร์ จิตรมหึมา\",\"doi\":\"10.60027/iarj.2024.274854\",\"DOIUrl\":null,\"url\":null,\"abstract\":\"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: เทศบาลเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอแล้วแต่กรณี โดยผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจสั่งให้นายกเทศมนตรีรองนายกเทศมนตรี พ้นจากตำแหน่ง การกระทำของผู้กำกับดูแลจึงมีลักษณะเป็นคำสั่งทางปกครอง ซึ่งมีประเด็นที่ควรศึกษาถึงเหตุดังกล่าวว่าควรจะใช้หลักเกณฑ์ใด หรือควรให้อำนาจแก่ผู้กำกับดูแลมากน้อยเพียงใดในการกำกับดูแลเทศบาลจึงจะเหมาะสมกับหลักความเป็นอิสระ (Autonomy) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยพิจารณาหลักการกำกับดูแล รวมถึงการใช้ดุลพินิจของผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการพิจารณาและสั่งให้นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี พ้นจากตำแหน่ง เพื่อหาแนวทางและนิติวิธีที่เกี่ยวกับรูปแบบการกำกับดูแลองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น (เทศบาล) ที่เหมาะสมกับประเทศไทยให้มีความเป็นอิสระตามเจตจำนงของรัฐธรรมนูญ \\nระเบียบวิธีการวิจัย: วิจัยนี้เป็นการศึกษาในเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ได้แก่ กฎหมาย หนังสือ วารสารวิชาการ บทความวิชาการ วิทยานิพนธ์ เอกสารงานวิจัย รวมทั้งข้อมูลเอกสารต่าง ๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ นำมาวิเคราะห์และเสนอแนะตามประเด็นวัตถุประสงค์การวิจัย\\nผลการวิจัย: การพิจารณาวินิจฉัยสั่งการของผู้ว่าราชการจังหวัดหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 73/1 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 ควรให้องค์กรตุลาการหรือศาลปกครองเข้ามามีบทบาทในการพิทักษ์สิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญรับรองให้ ทั้งนี้ตามมาตรา 249 เพราะเหตุที่ว่าองค์กรตุลาการเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐและเป็นกลางไม่ได้ มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ ในเรื่องของการบริหารงานของเทศบาล ดังนั้น การให้ศาลปกครองชั้นต้นเข้ามาตรวจสอบและมีคำสั่งหรือคำพิพากษา กรณีที่นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี จงใจทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่อันจะเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อย ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้กับกับดูแลเป็นผู้ยื่นฟ้องคดี โดยคดีดังกล่าวควรกำหนดเป็นคดีปกครองพิเศษ จึงจะสอดคล้องกับหลักการการกำกับดูแลต้องทำเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นหรือประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนรวม\\nสรุปผล: ผลการวิจัยสรุปได้ว่าเพื่อให้เกิดความเป็นอิสระของเทศบาลอย่างแท้จริงและประกันหลักการการกำกับดูแลต้องทำเพียงเท่าที่จำเป็นควรยกเลิกพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 72 มาตรา 73 และมาตรา 73/1 เพื่อให้กรณีการสั่งให้นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี พ้นจากตำแหน่งไม่อยู่ภายใต้อำนาจขององค์กรของรัฐฝ่ายปกครองกล่าวคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจในการฟ้องคดีปกครองพิเศษต่อศาลปกครองชั้นต้นที่มีเขตอำนาจ ทั้งนี้ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง\",\"PeriodicalId\":505621,\"journal\":{\"name\":\"Interdisciplinary Academic and Research Journal\",\"volume\":\"21 8\",\"pages\":\"\"},\"PeriodicalIF\":0.0000,\"publicationDate\":\"2024-04-07\",\"publicationTypes\":\"Journal Article\",\"fieldsOfStudy\":null,\"isOpenAccess\":false,\"openAccessPdf\":\"\",\"citationCount\":\"0\",\"resultStr\":null,\"platform\":\"Semanticscholar\",\"paperid\":null,\"PeriodicalName\":\"Interdisciplinary Academic and Research Journal\",\"FirstCategoryId\":\"1085\",\"ListUrlMain\":\"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.274854\",\"RegionNum\":0,\"RegionCategory\":null,\"ArticlePicture\":[],\"TitleCN\":null,\"AbstractTextCN\":null,\"PMCID\":null,\"EPubDate\":\"\",\"PubModel\":\"\",\"JCR\":\"\",\"JCRName\":\"\",\"Score\":null,\"Total\":0}","platform":"Semanticscholar","paperid":null,"PeriodicalName":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","FirstCategoryId":"1085","ListUrlMain":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.274854","RegionNum":0,"RegionCategory":null,"ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":null,"EPubDate":"","PubModel":"","JCR":"","JCRName":"","Score":null,"Total":0}
引用次数: 0