首页 > 最新文献

Interdisciplinary Academic and Research Journal最新文献

英文 中文
การพัฒนากลยุทธ์การตลาดของสถาบันอาชีวศึกษาไทย การพัฒนากลยุทธ์การตลาดของสถาบันอาชีวศึกษาไทย
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.276352
Yadan Luo, ภัทรธิรา ผลงาม, ตระกูล จิตวัฒนากร, สยาม อัจฉริยประภา
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: กลยุทธ์การตลาดของสถาบันอาชีวศึกษาเน้นไปที่การเติบโตและพัฒนาตัวเองให้เป็นที่รู้จักในตลาดและมีความสามารถในการแข่งขันในอาชีพต่างๆ ซึ่งสถาบันอาชีวศึกษาจะต้องใช้กลยุทธ์การตลาดเพื่อเสนอข้อเสนอที่น่าสนใจและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า โดยกลยุทธ์ดังกล่าวจะต้องใช้ 7Ps ของการตลาด การพัฒนากลยุทธ์การตลาดของสถาบันอาชีวศึกษาในประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าสู่ตลาดแรงงานและเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยบทความนี้จะสอดคล้องกับแนวคิดของ 7P (Product; Price; Place; Promotion; People; Process; Physical) ซึ่งเป็นการจัดการกลยุทธ์การตลาดอย่างเหมาะสมหลักสูตรอาชีวศึกษาควรถูกออกแบบให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้งานที่ต้องการและเติบโตอย่างยั่งยืนในอาชีพ นอกจากนี้มีการเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและสร้างสื่อสารที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มความน่าสนใจในหลักสูตรระเบียบวิธีการศึกษา: การศึกษาครั้งนี้ทำการศึกษาเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้องแล้วนำเสนอเชิงพรรณนาความตามวัตถุประสงค์การศึกษาผลการศึกษา: กลยุทธ์การตลาดของสถาบันอาชีวศึกษาไทยสามารถดำเนินการตามแนวคิดกลยุทธ์การตลาด 7P’s ประกอบด้วย (1) หลักสูตร (Programs) (2) ค่าเล่าเรียน (Price) (3) สถานที่ (Place) (4) การประชาสัมพันธ์ (Promotion) (5) บุคลากร (People) (6) กระบวนการผลิต(Processes) และ (7) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical facilities)  สรุปผล: สถาบันอาชีวศึกษาของไทยสามารถกำหนดกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยปฏิบัติตามกรอบแนวคิดกลยุทธ์การตลาดของ 7P ที่ครอบคลุม สิ่งนี้นำมาซึ่งความเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันต่อหลักสูตร การกำหนดราคา ตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง บุคลากร กระบวนการ และสิ่งอำนวยความสะดวกทางกายภาพ เพื่อให้มั่นใจว่ามีแนวทางแบบองค์รวมในการบรรลุวัตถุประสงค์
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:ธถศึกษาเน้นไปที่การฒนาตัวให้เป็นที่รให้เป็นที่รให้เป็นที่รให้เป็นที่รให้เป็นที่รๆมติลงสๆโดยกลุทธ์ดังกล่าวจะต้องใช้ 7Ps ของการตลาด การพัฒนากลยุทธ์การตลาของสถาบันอาชีวศึกษาในประเทศไทยเพือเพิ่มโอกาสในการเข้าสู่ตลาดแรงานและเติบโตยางยั่งยืนในอนาคตโดยบทควานี้จะสอคล้องกับแนวคิดของ 7P(产品;价格;地点;促销;人员;过程;物理) ซึ่งเป็นการจัดารกลุยทธ์การตารอย่างเมตรอชีวศึษษาควรถูกอกแบให้รตงกับควารมต้รงกับควารมตารอย่างเพือเพิ่มโอกาสในการได้งานที่ต้องการและเติบบโตอย่างยัย่ออืนในาชีพนอกจากนี้มีการเข้าใจความต้องการของกงลุ่มเป้าหมายและสร้างสื่อสารที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มความน่าสนใจในหาลักสูตรระเบียบวิธีการศึกษา:7P的 ประกอบด้วย (1) หลักสูตร (Programs) (2) ค่าเรียน(价格)(3)สถานที่(地点)(4)การประชาสัมพันธ์(促销)(5)บุคลากร(人员)(6)กระบวนการผลิต(流程)และ(7)สิ่งแดวล้อมทางกายภาพ(物理设施)สรุปผล:สถาบันอาชีวศึกษาของไทยสามารถกำหนดกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยปฏิบัติตามกรอบแนวคิดกลยุทธ์การตลาดของ 7P ที่ครอบคลุม สิ่งนี้นำมาซึ่งความเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันต่อหลักสูตรการกำหนดราคา มสะดวกทางกายภาพ เพื่อให้มั่นใจว่ามีแนวทางแบบองค์รวมในการบรรุวัตถุประสงค์
{"title":"การพัฒนากลยุทธ์การตลาดของสถาบันอาชีวศึกษาไทย","authors":"Yadan Luo, ภัทรธิรา ผลงาม, ตระกูล จิตวัฒนากร, สยาม อัจฉริยประภา","doi":"10.60027/iarj.2024.276352","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276352","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: กลยุทธ์การตลาดของสถาบันอาชีวศึกษาเน้นไปที่การเติบโตและพัฒนาตัวเองให้เป็นที่รู้จักในตลาดและมีความสามารถในการแข่งขันในอาชีพต่างๆ ซึ่งสถาบันอาชีวศึกษาจะต้องใช้กลยุทธ์การตลาดเพื่อเสนอข้อเสนอที่น่าสนใจและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า โดยกลยุทธ์ดังกล่าวจะต้องใช้ 7Ps ของการตลาด การพัฒนากลยุทธ์การตลาดของสถาบันอาชีวศึกษาในประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าสู่ตลาดแรงงานและเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยบทความนี้จะสอดคล้องกับแนวคิดของ 7P (Product; Price; Place; Promotion; People; Process; Physical) ซึ่งเป็นการจัดการกลยุทธ์การตลาดอย่างเหมาะสมหลักสูตรอาชีวศึกษาควรถูกออกแบบให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้งานที่ต้องการและเติบโตอย่างยั่งยืนในอาชีพ นอกจากนี้มีการเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและสร้างสื่อสารที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มความน่าสนใจในหลักสูตร\u0000ระเบียบวิธีการศึกษา: การศึกษาครั้งนี้ทำการศึกษาเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้องแล้วนำเสนอเชิงพรรณนาความตามวัตถุประสงค์การศึกษา\u0000ผลการศึกษา: กลยุทธ์การตลาดของสถาบันอาชีวศึกษาไทยสามารถดำเนินการตามแนวคิดกลยุทธ์การตลาด 7P’s ประกอบด้วย (1) หลักสูตร (Programs) (2) ค่าเล่าเรียน (Price) (3) สถานที่ (Place) (4) การประชาสัมพันธ์ (Promotion) (5) บุคลากร (People) (6) กระบวนการผลิต(Processes) และ (7) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical facilities)  \u0000สรุปผล: สถาบันอาชีวศึกษาของไทยสามารถกำหนดกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยปฏิบัติตามกรอบแนวคิดกลยุทธ์การตลาดของ 7P ที่ครอบคลุม สิ่งนี้นำมาซึ่งความเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันต่อหลักสูตร การกำหนดราคา ตำแหน่ง การเลื่อนตำแหน่ง บุคลากร กระบวนการ และสิ่งอำนวยความสะดวกทางกายภาพ เพื่อให้มั่นใจว่ามีแนวทางแบบองค์รวมในการบรรลุวัตถุประสงค์","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 12","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141368541","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษากลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษากลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.276353
ไอลดา อัครภูริสาธร, นิษรา พรสุริวงษ์, อมรรัตน์ ประวัติรุ่งเรื่อง
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การบริหารจัดการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผล ผู้บริหารสถานศึกษา จะต้องเป็นผู้บริหารยุคใหม่ เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการบริหาร และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างมืออาชีพ การบริหารสถานศึกษาในยุคปัจจุบัน มีองค์ประกอบหลายอย่างที่จะช่วยให้องค์กรเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารของสถานศึกษา กลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง (2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษา กลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง (3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลขอสถานศึกษา กลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง และ (4) เพื่อศึกษาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยองระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 140 คน โดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิและสุ่มแบบง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์สถิติการถดถอยพหุคูณ แบบ Stepwiseผลการวิจัย: (1) ปัจจัยการบริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก (2) ประสิทธิผลของสถานศึกษาโดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก (3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษาภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวก อยู่ในระดับสูงมาก (rxy = .951) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (4) ตัวแปรพยากรณ์ที่ดีของประสิทธิผลของสถานศึกษาได้แก่ ลักษณะของสภาพแวดล้อม ลักษณะบุคลากร และ ลักษณะขององค์การ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้ง 3 ปัจจัยดังกล่าวได้ร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษา ได้ร้อยละ 90.70 ซึ่งสามารถเขียนสมการพยากรณ์ ได้ดังนี้สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบY = .118 + .417X1 +.288X4 +263X3สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐานZ= .405X1 +.306X4 + .273X3สรุปผล: ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญระหว่างลักษณะการบริหารงานของสถาบันการศึกษาและประสิทธิผลโดยรวม ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างมากและรับรู้ในแง่ดี นอกจากนี้ คุณลักษณะขององค์กร มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม ยังปรากฏเป็นตัวทำนายที่สำคัญ ซึ่งรวมกันแล้วคิดเป็น 90.70% ของประสิทธิผลของสถาบันการศึกษา
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:การบริหารจัดการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผล ผู้บริหารสถานศึกษา จะต้องเป็นผู้บริหารยุคใหม่ เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการบริหารและปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิขดึ้นอย่างมือาชีพ การบริหารสถานศึกษาในยุคปจุบันมีองค์ประกอบหายอยางที่จะช่วยให้องค์กรเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัจัยการบริหารของสถานศึกษากลุ่มเาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง (2) เพื่อศึกษาประสิทธิผรขงอสถานศึกษา กลุ่มเาะแก้วสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง (3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ปจัยจัยการบริหารับประสิทธิผลอสถานศึษากลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง และ (4) เพื่อศึกษาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยองระเบียบวิธีการวิจัย:กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 140 คน โดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิและสุ่มแบบง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามสถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์หสมัพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราหะ์สถิติการถดถอยพหุคูณ แบบ Stepwiseผลการวิจัย:(1) ปัจัยการบริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมา (2) ประสิทธิผลของสถานศึกษาโดยภาพรวมมีความคิเห็นอยู่ในระดับมา(3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจัยการบริหารับประสิทธิผลของสถานศึกษาภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวก อยู่ในระดับูสงมาก (rxy = .951) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (4) ตัวแปรพยากรณ์ที่ดีของประสิทธิผลของสถานศึกษาได้แก่ ลักษณะของสภาพแวดล้อม ลักษณะบุคลากร และ ลักษณะขององค์การ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้ง 3 ปัจัยดังกลาวได้่รวมกันพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษา ได้รอยละ 90.70 สามารรถเขียนสมการพยากรณ์ ได้ดังนียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนดิบy = .118 + .417x1 +.288x4 +263x3สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐานz= .405X1 +.306X4 + .273X3สรุปผล:ผลการศึกษาแสดงให้เน็ว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญระหว่างลักษณะการรรรรรรรรรรรรรถาบันการศึกษาและประสิทธิผหดยรวมสัมพันธ์กันอย่างมากและรับรู้ในแง่ดี นอกจากนี้ คุณลักษณะขององค์กร มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม ยังปรากฏเป็นตัวทำนายที่สำคัญ ซิ่งรวมกันแล้วคิดเป็น 90.70% ขอปงระสิทธิผลของสถาบันการศึกษา
{"title":"ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษากลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1","authors":"ไอลดา อัครภูริสาธร, นิษรา พรสุริวงษ์, อมรรัตน์ ประวัติรุ่งเรื่อง","doi":"10.60027/iarj.2024.276353","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276353","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การบริหารจัดการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผล ผู้บริหารสถานศึกษา จะต้องเป็นผู้บริหารยุคใหม่ เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการบริหาร และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างมืออาชีพ การบริหารสถานศึกษาในยุคปัจจุบัน มีองค์ประกอบหลายอย่างที่จะช่วยให้องค์กรเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารของสถานศึกษา กลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง (2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษา กลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง (3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลขอสถานศึกษา กลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง และ (4) เพื่อศึกษาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 140 คน โดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิและสุ่มแบบง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์สถิติการถดถอยพหุคูณ แบบ Stepwise\u0000ผลการวิจัย: (1) ปัจจัยการบริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก (2) ประสิทธิผลของสถานศึกษาโดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก (3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษาภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวก อยู่ในระดับสูงมาก (rxy = .951) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (4) ตัวแปรพยากรณ์ที่ดีของประสิทธิผลของสถานศึกษาได้แก่ ลักษณะของสภาพแวดล้อม ลักษณะบุคลากร และ ลักษณะขององค์การ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้ง 3 ปัจจัยดังกล่าวได้ร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษา ได้ร้อยละ 90.70 ซึ่งสามารถเขียนสมการพยากรณ์ ได้ดังนี้\u0000สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ\u0000Y = .118 + .417X1 +.288X4 +263X3\u0000สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน\u0000Z= .405X1 +.306X4 + .273X3\u0000สรุปผล: ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญระหว่างลักษณะการบริหารงานของสถาบันการศึกษาและประสิทธิผลโดยรวม ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างมากและรับรู้ในแง่ดี นอกจากนี้ คุณลักษณะขององค์กร มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม ยังปรากฏเป็นตัวทำนายที่สำคัญ ซึ่งรวมกันแล้วคิดเป็น 90.70% ของประสิทธิผลของสถาบันการศึกษา","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 7","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141370613","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.275931
ศศิพงษ์ งามศรีขำ, ศิวพร เสาวคนธ์
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคที่หันมาใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับอาหารและส่วนประกอบของอาหารที่รับประทานเพื่อสุขภาพ อย่างไรก็ตามจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ. 2544 ข้อ 6 เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนโดยลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากอาหารและเพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนจากอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นการวิจัยนี้มีวัตถุประสงเพื่อ 1) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 2) เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันทีของต่างประเทศและประเทศไทย 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 4) เพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันทีระเบียบวิธีการวิจัย: งานวิจัยฉบับนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการวิจัยจากเอกสาร เก็บรวบรวมข้อมูลจาก วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ บทความ หนังสือ ตำราเอกสารทางวิชาการอื่นๆ รวมถึงข้อมูลสารสนเทศทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับหลักกฎหมายไทยเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาการควบคุมการผลิตอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมรับประทานทันทีให้มีประสิทธิภาพสูงสุดผลการศึกษา: 1) การปกป้องสิทธิของผู้บริโภคและกำหนดความรับผิดชอบของผู้ปรุงอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 2) กฎหมายประเทศไทยในการแสดงฉลากของอาหารพร้อมปรุงและอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ยังไม่มีความละเอียดในการบัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมผู้บริโภคอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 3) ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดให้เงื่อนไขไม่ใช้บังคับแก่อาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ซึ่งผู้ปรุงเป็นผู้จำหน่ายแก่ผู้บริโภคโดยตรงไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติอาหารของไทย กฎหมายที่เข้ามาควบคุมอาหารให้มีคุณภาพเป็นข้อยกเว้นที่ทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายซึ่งกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง 4) ควรมีการเพิ่มกฎหมายโดยแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และ แก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ. 2544 ดังนี้ (1) คำนิยามคำว่า “ผู้ปรุง” (2) การขอใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่ประกอบอาหาร (3) ฉลากอาหารสำหรับอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที (4) อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการอาหารและยา สามารถแก้ไขปัญหาการควบคุมการผลิตอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมรับประทานทันทีให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นประโยชน์การควบคุมอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันทีที่ประชาชนบริโภคต่อไปสรุปผล: การปรับเปลี่ยนกฎหมายปัจจุบันและประกาศกระทรวงถือเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากไม่มีกฎหมายที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการผลิตและการติดฉลากอาหารพร้อมบริโภค สิ่งนี้แสดงให้เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าการขายตรงถึงผู้บริโภคได้รับการยกเว้นจากกฎระเบียบปัจจุบัน ในท้ายที่สุด การปรับปรุงการคุ้มครองผู้บริโภคและการควบคุมการผลิตอาหารพร้อมรับประทานอย่างมีประสิทธิผลจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งสามารถทำได้โดยการเสริมสร้างคำจำกัดความ ข้อกำหนดในการอนุญาต มาตรฐานการติดฉลาก และการกำกับดูแลภายใต้พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. พ.ศ.2522 และกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ.2544
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคที่หันมาใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับอาหารและส่วนประกอบของอาหารที่รับประทานเพื่อสุขภาพ อย่างไรก็ตามจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ.2544 ข้อ 6 เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนโดยลดความเสี่ยงจาการเจ็บปว่ยอันเนื่องมจากอาหารและเพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนจากอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะดังนั้นารวิจัยนี้มีวัตถุประสงเพื่อ 1) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกบัการควบคุมการปรุงอหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโคทนที 2)เพือศึกษามาตราราทงกฎหมายที่เกี่ยวกับารปรุงาหาสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันทีขงต่างประเทศและประเท↪LoE28↩ไทย 3)เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 4) เพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันทีระเบียบวิธีการวิจัย:งานวิจัยฉบับนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการวิจัยจากเอกสาร เกบ็รวบรวมข้อมูลจาก วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์มตังสือ มตำราเอกสารทางวิชาการอื่นๆ รวมถึงข้อมตารสนเทศทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องตลอดจนศึษาเปรียบเทียบกฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง1) การปกป้องสิทธิของผู้บริโภคและกำหนดควารมับผิชอบของผู้ปรุงาหารเปน็สิ่งสำคัญต่อกฎหมายเกี่ยวกับารควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 2)กฎหมายประเทศไทยในการแสดงฉลากของอาหารพร้อมปรุงและอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ยังไม่มีความละเอียดในการบัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมผู้บริโภคอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 3)ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดให้เงื่อนไขไม่ใช้บังคับแก่อาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ซึ่งผู้ปรุงเป็นผู้จำหน่ายแก่ผู้บริโภคโดยตรงไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติอาหารของไทยกฎหมายที่เข้ามาควบคุมอาหารให้มีคุณภาพเป็นข้อยกเว้นที่ทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายซึ่งกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง 4) ควรมีการเพิ่มกฎหมายโดยแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 และแก้าขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ.2544 สังนี้ (1) คำนิยามคำว่า "ผู้ปรุง" (2) การขอใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่ประกอบอาหาร (3) ฉลากอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที (4) อำนาจหนาที่ของคณะกรรมการอหาและยาสามารถแกไขปัญหาการควบคุมการผลิตอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมรับประทนาทันทีให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นประโยชน์การควบคุมอหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภทคันที่ทประชาชนบริโภคต่อไปสรุปผล:การปรับเปลี่ยนกฎหมายปัจุบันและประกาศกระทรวงถือเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากไม่มีกฎหมายที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการผลิแตละการติดฉลากอหารพร้อมบริโภคสิ่งนี้แสดงให้เเท็จจริงที่่วาการขายตรงถึงผู้บริโภคได้รับการยกเว้นจากฎระเบียบปัจจุบัน ในท้ายที่สุดการปรับปรุงการคุ้มครองผู้บริโภคและการควบคุมการผลิตอาหารพร้มรอรับประทานอย่างมีประสิทธิผจะเป็นประโยชน์่ตอสุขาพและความปอดภัยขงประชานมติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายนศ.พ.ศ.2522 และกระทรวงสาธารณสุ ขฉบับที่ 237 พ.ศ.2544
{"title":"ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที","authors":"ศศิพงษ์ งามศรีขำ, ศิวพร เสาวคนธ์","doi":"10.60027/iarj.2024.275931","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275931","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคที่หันมาใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับอาหารและส่วนประกอบของอาหารที่รับประทานเพื่อสุขภาพ อย่างไรก็ตามจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ. 2544 ข้อ 6 เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนโดยลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากอาหารและเพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนจากอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นการวิจัยนี้มีวัตถุประสงเพื่อ 1) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 2) เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันทีของต่างประเทศและประเทศไทย 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 4) เพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: งานวิจัยฉบับนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการวิจัยจากเอกสาร เก็บรวบรวมข้อมูลจาก วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ บทความ หนังสือ ตำราเอกสารทางวิชาการอื่นๆ รวมถึงข้อมูลสารสนเทศทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับหลักกฎหมายไทยเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาการควบคุมการผลิตอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมรับประทานทันทีให้มีประสิทธิภาพสูงสุด\u0000ผลการศึกษา: 1) การปกป้องสิทธิของผู้บริโภคและกำหนดความรับผิดชอบของผู้ปรุงอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 2) กฎหมายประเทศไทยในการแสดงฉลากของอาหารพร้อมปรุงและอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ยังไม่มีความละเอียดในการบัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมผู้บริโภคอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 3) ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดให้เงื่อนไขไม่ใช้บังคับแก่อาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ซึ่งผู้ปรุงเป็นผู้จำหน่ายแก่ผู้บริโภคโดยตรงไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติอาหารของไทย กฎหมายที่เข้ามาควบคุมอาหารให้มีคุณภาพเป็นข้อยกเว้นที่ทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายซึ่งกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง 4) ควรมีการเพิ่มกฎหมายโดยแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และ แก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ. 2544 ดังนี้ (1) คำนิยามคำว่า “ผู้ปรุง” (2) การขอใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่ประกอบอาหาร (3) ฉลากอาหารสำหรับอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที (4) อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการอาหารและยา สามารถแก้ไขปัญหาการควบคุมการผลิตอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมรับประทานทันทีให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นประโยชน์การควบคุมอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันทีที่ประชาชนบริโภคต่อไป\u0000สรุปผล: การปรับเปลี่ยนกฎหมายปัจจุบันและประกาศกระทรวงถือเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากไม่มีกฎหมายที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการผลิตและการติดฉลากอาหารพร้อมบริโภค สิ่งนี้แสดงให้เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าการขายตรงถึงผู้บริโภคได้รับการยกเว้นจากกฎระเบียบปัจจุบัน ในท้ายที่สุด การปรับปรุงการคุ้มครองผู้บริโภคและการควบคุมการผลิตอาหารพร้อมรับประทานอย่างมีประสิทธิผลจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งสามารถทำได้โดยการเสริมสร้างคำจำกัดความ ข้อกำหนดในการอนุญาต มาตรฐานการติดฉลาก และการกำกับดูแลภายใต้พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. พ.ศ.2522 และกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ.2544","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 9","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141369777","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.273887
สวภัทร หงษ์โง่น, อัจฉรา จินวงษ์, ปิยพร แผ้วชำนาญ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การให้ความรู้ต่อกลุ่มเป้าหมาย ด้วยกลไก และวิธีการต่าง ๆ เช่น การให้ความรู้เชิงวิชาการ การสะท้อนให้เห็นผลที่เกิดขึ้นจากความเสี่ยง อันตรายต่อสุขภาพ การจัดกิจกรรมกลุ่มส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายมีองค์ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้เกิดระดับการปฏิบัติที่ดีขึ้นตามลำดับ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการดำเนินงานเฝ้าระวังและการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านพัฒนาและประเมินประสิทธิผลการพัฒนารูปแบบการดำเนินงาน เฝ้าระวัง และป้องกัน โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีระเบียบวิธีการวิจัย: ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ (1) บุคลากรสาธารณสุขในเทศบาลตำบลบ้านตาด ได้แก่ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข และนักวิชาการสาธารณสุข รวมจำนวน 2 คน (2) บุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก จำนวน 5 คน (3) ผู้นำระดับชุมชน ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน 8 หมู่บ้าน รวมจำนวน 8 คน (4) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ทั้ง 8 หมู่บ้าน จำนวน 98 คน เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพผลการวิจัย: รูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวังและการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนจำเป็นต้องมีการสร้างความเข้าใจให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขในการดำเนินงานและซักซ้อมให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งมีขั้นตอนประกอบไปด้วย (1) การดำเนินงานเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุข การทำหน้าที่เป็นด่านหน้าในการคัดกรอง หรือรณรงค์เคาะประตูบ้านควรมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคและการป้องกันโรคโควิด-19 เมื่อมีผู้ป่วยเกิดขึ้นในชุมชน (2) การสนับสนุนการเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุข จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรให้การสนับสนุนในเรื่องของงบประมาณ ในการเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชนและเงินสนับสนุนในรูปแบบของโครงการ ให้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขเพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นขวัญกำลังใจแก่ อาสาสมัครสาธารณสุขผู้ปฏิบัติงาน (3) การเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชน ของ อสม. การปฏิบัติงานในการเฝ้าระวังและป้องกันโรคโควิด-19 อาสาสมัครสาธารณสุขเป็นกลุ่มอาสาสมัครภาคประชาชน จำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาความรู้ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้เรื่องการป้องกันโรค การติดเชื้อ ระยะติดต่อ รวมไปถึงการรักษาเบื้องต้นของโรคโควิด–19 เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่คนในชุมชน และยังสร้างความมั่นใจในตนเองของ อาสาสมัครสาธารณสุข ต่อไป         สรุปผล: ผลการวิจัยนี้ให้ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมายโดยใช้กลไกและวิธีการต่างๆ เช่น การให้ความรู้ทางวิชาการ สะท้อนผลที่ตามมาของความเสี่ยง อันตรายต่อสุขภาพ การจัดกิจกรรมกลุ่มส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายได้รับความรู้มากขึ้น และส่งผลให้มีการปฏิบัติที่ดีขึ้นตามลำดับ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:การให้ความรู้ต่อกลุ่มเป้าหมาย ด้วยกลไก และวิธีการต่าง เช่น การให้ความรู้เชิงวิชาการ การสะท้อนให้เห็นผลที่เกดิขึนจ้ากความเสี่ยง อันตรายต่อสุขภาพการจัดกิจกรรมกลุ่มส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายมีองค์ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้เกิดระดับการปฏิบัติที่ดีขึ้นตามลำดับ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำเนินงานเฝ้าระวังและการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านพัฒนาและประเมินประสิทธิผลการพัฒนารูปแบบการดำเนินงาน เฝ้าระวังและป้องกัน โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีระเบียบวิธีการวิจัย:ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ (1) บุคลากรสาธารณสุขในเทศบาลตำบลบ้านตาด ได้แก่ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและนักวิชาการสาธารณสุ ขรวมจำนวน 2 คน (2) บุคลากรสาธารณสุ ขในโรงยพาบารส่งเสริมสุ ขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก จำนวน 5 คน (3) ผู้นำระดับุชมชน ได้แก่ผู้ใหญ่บ้าน 8 หมู่บ้าน รวมจำนวน 8 คน (4) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตรับผิดชบโรงพยาบาลส่งเสิมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึกอำเออเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ทั้ง 8 หมู่บ้าน จำนวน 98 คน เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพผลการวิจัย:รูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวังและการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนจำเป็นต้องมีการสร้างความเข้าใจให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขในการดำเนินงานและซักซ้อมให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างเป็นรูปธรรมใในชปฏิบตินชปฏิบตินชปฏินชปฏิบตินชปฏินชป19 ใชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุข การทำหน้าที่เป็นด่านหน้าในการคัดกรอง หรอืรณรงค์เคาะประตูบ้านควรมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคและการป้องกันโรคโควิด-19 เมื่อมีผู้่ปวยเกิดขึ้นในชุมชน (2) การสันบสุนการเฝ้าระวัง และปอ้งกันโรคคอวิด-19 ในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุข จากงอค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรให้ากรสนับสนุนในเรื่องของบประมาณ ในการเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโวิด-19 เE43↩นชุมชนและเงินสนับสนุนในรูปบบอขงโครงการ ให้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขเพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่และเป็นขวัญกำลังใจแก่ อาสาสมัครสาธารณสุขผู้ปฏิบัติงาน (3) การเพิ่มศักยภาพการดำเนินงาเนเฝ้าระวัง และปอ้งกันโรคโควิด-19 ในชุมชน ของ อสม.การปฏิบัติงานในการเฝ้าระวังและป้องกันโรคโควิด-19 สาสมัครสาธารณสุขเป็นกลุ่มอาสาสมัครภาคประชาชน จำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาความรู้ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้เรื่องการปองกันโรค การติดเชื้อ ระยะติดต่อรวมไปถึงการรักษาเบือยงต้นของโรคอควิด-19 เพือสร้างความนาเชอื่ถอให้แก่คนในชุมชน และยังสร้างความมั่นใจในตนเองของ อาสามครัสาธารณสุข ต่อไป สรุปผล:ผลการวิจัยนี้ให้ความรู้แก่ลุ่มเป้าหมายโดยใช้กลไกและวิธีการต่างๆ เช่น การให้ความรู้ทางวิชาการ สะท้อนผลที่ตามาของความเสี่ยงมตันตรายต่อสุขภาพ การจัดกิจกรรมกลุมส่งผลใหากลุ่มเป้าหมายได้รับความรู้มากขข้น และส่งผลใหม้ีการปฏิบัติที่ดีข้นารมตำดับ
{"title":"การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี","authors":"สวภัทร หงษ์โง่น, อัจฉรา จินวงษ์, ปิยพร แผ้วชำนาญ","doi":"10.60027/iarj.2024.273887","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.273887","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การให้ความรู้ต่อกลุ่มเป้าหมาย ด้วยกลไก และวิธีการต่าง ๆ เช่น การให้ความรู้เชิงวิชาการ การสะท้อนให้เห็นผลที่เกิดขึ้นจากความเสี่ยง อันตรายต่อสุขภาพ การจัดกิจกรรมกลุ่มส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายมีองค์ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้เกิดระดับการปฏิบัติที่ดีขึ้นตามลำดับ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการดำเนินงานเฝ้าระวังและการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านพัฒนาและประเมินประสิทธิผลการพัฒนารูปแบบการดำเนินงาน เฝ้าระวัง และป้องกัน โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ (1) บุคลากรสาธารณสุขในเทศบาลตำบลบ้านตาด ได้แก่ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข และนักวิชาการสาธารณสุข รวมจำนวน 2 คน (2) บุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก จำนวน 5 คน (3) ผู้นำระดับชุมชน ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน 8 หมู่บ้าน รวมจำนวน 8 คน (4) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ทั้ง 8 หมู่บ้าน จำนวน 98 คน เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ\u0000ผลการวิจัย: รูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวังและการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนจำเป็นต้องมีการสร้างความเข้าใจให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขในการดำเนินงานและซักซ้อมให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งมีขั้นตอนประกอบไปด้วย (1) การดำเนินงานเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุข การทำหน้าที่เป็นด่านหน้าในการคัดกรอง หรือรณรงค์เคาะประตูบ้านควรมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคและการป้องกันโรคโควิด-19 เมื่อมีผู้ป่วยเกิดขึ้นในชุมชน (2) การสนับสนุนการเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุข จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรให้การสนับสนุนในเรื่องของงบประมาณ ในการเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชนและเงินสนับสนุนในรูปแบบของโครงการ ให้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขเพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นขวัญกำลังใจแก่ อาสาสมัครสาธารณสุขผู้ปฏิบัติงาน (3) การเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชน ของ อสม. การปฏิบัติงานในการเฝ้าระวังและป้องกันโรคโควิด-19 อาสาสมัครสาธารณสุขเป็นกลุ่มอาสาสมัครภาคประชาชน จำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาความรู้ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้เรื่องการป้องกันโรค การติดเชื้อ ระยะติดต่อ รวมไปถึงการรักษาเบื้องต้นของโรคโควิด–19 เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่คนในชุมชน และยังสร้างความมั่นใจในตนเองของ อาสาสมัครสาธารณสุข ต่อไป         \u0000สรุปผล: ผลการวิจัยนี้ให้ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมายโดยใช้กลไกและวิธีการต่างๆ เช่น การให้ความรู้ทางวิชาการ สะท้อนผลที่ตามมาของความเสี่ยง อันตรายต่อสุขภาพ การจัดกิจกรรมกลุ่มส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายได้รับความรู้มากขึ้น และส่งผลให้มีการปฏิบัติที่ดีขึ้นตามลำดับ","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 9","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141368418","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
ความเป็นกลางของผู้มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง ศึกษากรณี คุณสมบัติกรณีอื่นของกฎกระทรวงที่ออกตามความมาตรา 13 (6) พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. 2539 กับการบังคับใช้กฎหมาย ความเป็นกลางของผู้มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง ศึกษากรณี คุณสมบัติกรณีอื่นของกฎกระทรวงที่ออกตามความมาตรา 13 (6) พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. 2539 กับการบังคับใช้กฎหมาย
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.276100
ธีระญา ปราบปราม
ภูมิหลังและวัถตุประสงค์: การดำเนินงานทางปกครองมีหลักเกณฑ์และขั้นตอนมากมายที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่เรียกว่าแบบในทางกฎหมายปกครอง  การดำเนินการก็ต้องกระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจที่กฎหมายกำหนดอำนาจไว้ให้และตั้งอยู่บนพื้นฐานหลักความเป็นกลาง ดังนั่นบทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นกลางของผู้มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง ศึกษากรณี คุณสมบัติกรณีอื่นของกฎกระทรวงระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยครั้งนี้ทำการวิเคราะห์กฎกระทรวงที่ออกตามความมาตรา 13 (6) พระราชบัญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. 2539 กับการบังคับใช้กฎหมาย โดยหลักความเป็นกลางในการพิจารณาทางปกครองกำหนดคุณสมบัติคู่กรณีไว้ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 13 ตามวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 และต่อมาได้มีการประกาศกฎกระทรวงตามความในมาตรา 13(6)ผลการวิจัย: กฎกระทรวงนั้นมีการควบคุมการพิจารณาทางปกครอง เพื่อป้องกันความไม่เป็นกลางในทางภาวะวิสัยหรือความไม่เป็นกลางโดยสภาพภายนอก  แต่เมื่อพิจารณาข้อความของกฎหมายที่ใช้คำว่า “เป็น”หริอ “เคยเป็น” อันไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน อาจส่งผลกับผู้พิจารณาทางปกครองที่เป็นคู่กรณีต้องผูกพันในฐานะดังกล่าวไปตลอดชีวิต หากผู้พิจารณาทางปกครองเคยมีความสัมพันธ์กับคู่กรณีในฐานะที่ “เป็น” หรือ “เคยเป็น”  เป็นการยากในการพิสูจน์จากคู่กรณีที่ถูกพิจารณาทางปกครองว่าสถานะ “เป็น” หรือ “เคยเป็น” มีหลักฐานใดที่นำสืบเพื่อเป็นข้ออ้างได้ เพื่อเป็นข้อคัดค้านการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา 14 วรรค 1 อีกทั้งกฎกระทรวงดังกล่าวยังมีการบังคับใช้กฎหมายในสถานะของคู่กรณีที่ไม่ได้ปรากฎชัดตามกฎหมายที่รับรองสถานะที่ปรากฎตามทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การที่ไม่ได้มีกฎหมายที่ตีตราทางทะเบียนที่รับรองสถานะไว้ทำให้ยากต่อการพิสูจน์เพื่อการคัดค้านอีกกรณีหนึ่ง จะเห็นได้ว่ากฎกระทรวงดังกล่าวมีลักษณะเป็นการเขียนในขอบเขตที่กว้าง จำกัดสิทธิ เสรีภาพของคู่กรณีตามรัฐธรรมนูญกำหนด ยากต่อการพิสูจน์สถานะ แม้ว่าจะเป็นการรัดกุมเพื่อป้องกันการพิจารณาทางปกครองที่ไม่เป็นกลาง แต่ก็เป็นข้อกังวลที่อาจมีการคัดค้านการพิจารณาทางปกครองมากขึ้น อันทำให้การพิจารณาทางปกครองล่าช้าไปโดยปราศจากเหตุอันสมควรสรุปผล: แม้ว่าวัตถุประสงค์ของกฎระเบียบเหล่านี้คือเพื่อป้องกันอคติ แต่ก็ทำให้เกิดความคลุมเครือโดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และขัดขวางกระบวนการตัดสินที่เป็นกลาง การเข้าถึงอย่างกว้างขวางทำให้เกิดความล่าช้าที่ไม่สมเหตุสมผลในการทบทวนของฝ่ายบริหาร โดยการจำกัดสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ และทำให้กระบวนการตรวจสอบยากขึ้น
ภูมิหลังและวัถตุประสงค์: การดำเนินารก็ต้องกระทำโดยเจ้าหน้าที่อขงรัฐผู้มีอำนาจที่กฎหมายกำหนาจไว้ให้และตั้งงอยู่บนพื้นฐานหัลกความเป็นกลางมตัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นกลางของผู้มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง ศึกษากรณี คุณสมบัติกรณีอืนขอ่งกฎกระทรวงระบียบวิธีการวจัย:การวิจัยครั้งนี้ทำการวิเคราะห์กฎกระทรวงที่อกตามความมาตรา 13 (6) พระราชบัญตัิวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ.2539 กับารบังคับใช้กฎหมาย โดยหลักความเป็นกลางในการพจิารณาทางปกครองกำหนดคุณสมบัติคู่กรณีไว้ต้องไม่ีลักษณะต้องห้ามตามตาร 13 ตามวิธีปฏิบัติราชการทางปกคอง พ.ศ.2539และต่อมาได้มีการประกาศกฎกระทรวงตามความในมาตรา 13(6)ผลการวิจัย:กฎกระทรวงนั้นมีการควบคุมการพจารณาทางปกครอง เพ่อป้องกันความไม่เป็นกลางในทางภาวะวิสัยหรือควมาไม่เป็นกลางโดยสภาพภายนอก แต่มเือ่พจิารณาข้อความของกฎหมายที่ใชคำวา"เป็น "หริอ "เคยเป็น" อันไม่ได้กำนหดระยะเเวลาที่ชัดเจน อาจส่งผลกับผู้พิจารณาทางปกครองที่เป็นคู่กรณีต้องผูกพันในฐานะดังกล่าวไปตลอดชีวิตตหากผู้พิจารณาทางปกครองเคยมีความสัมพันธ์กับคู่กรณีในฐานะที่ "เป็น" หรือ "เคยเป็น" เป็นการยากในการพิสูจน์จากคู่กรณีที่ถูพิจารณาทางปกครองว่าสถานะ"เป็น" เรือ "เคยเป็น" มีหลักฐานใดที่นำสืบเพือเป็นข้ออ้างได้ เพือเป็นข้อคัดค้านการพจิารณาทงาปกครองตามมาตรา 14 วรค 1อีกทั้งกฎกระทรวงดังกล่าวยังมีการบังคับใช้กฎหมายในสถานะของคู่กรณีที่ไมปรากฎชัดตากฎหมายที่รับรองสถานะที่ปรากฎตามทะเบียนอย่างถกูต้องตามกฎหมายการที่ฎหมายที่ตตีราทางทะเบียนที่รับรองสถานะไว้ทำให้ยากต่อการพิสูจน์เพื่อการคัดค้านอีกกรณีหนึ่ง จะเห็นได้ว่ากฎกระทรวงดังกล่าวมีลัษณะเป็นการเขียนในขอเบตที่กวงจำกัดสิทธิ เสรีภาพของคู่กรณีตามรัฐธรรมนูญกำหนด ยากต่อการพิสูจน์สถานะ แม้ว่าจะเป็นการรัดกุมเพื่อป้องกันการพิจารณาทางปกครองที่ไมเป็นกลางแม้ว่าวัตถุประสงค์ของกฎระเบียบเหล่านี้คือเพื่อป้องกันอคติ แต่ก็ทำให้เกิดความคลุมเครือโดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และขัดขวางกระบวนการตัดสินที่เป็นกลางถึงอย่างกว้างขวาทงำใหเกิดความล่าช้าที่ไมสมเหตุสมผลในการทบทนวของฝ่ายบรารจำกัดสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญและทำให้กระบวนการตรวจสบยากึน
{"title":"ความเป็นกลางของผู้มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง ศึกษากรณี คุณสมบัติกรณีอื่นของกฎกระทรวงที่ออกตามความมาตรา 13 (6) พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. 2539 กับการบังคับใช้กฎหมาย","authors":"ธีระญา ปราบปราม","doi":"10.60027/iarj.2024.276100","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276100","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัถตุประสงค์: การดำเนินงานทางปกครองมีหลักเกณฑ์และขั้นตอนมากมายที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่เรียกว่าแบบในทางกฎหมายปกครอง  การดำเนินการก็ต้องกระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจที่กฎหมายกำหนดอำนาจไว้ให้และตั้งอยู่บนพื้นฐานหลักความเป็นกลาง ดังนั่นบทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นกลางของผู้มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง ศึกษากรณี คุณสมบัติกรณีอื่นของกฎกระทรวง\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยครั้งนี้ทำการวิเคราะห์กฎกระทรวงที่ออกตามความมาตรา 13 (6) พระราชบัญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. 2539 กับการบังคับใช้กฎหมาย โดยหลักความเป็นกลางในการพิจารณาทางปกครองกำหนดคุณสมบัติคู่กรณีไว้ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 13 ตามวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 และต่อมาได้มีการประกาศกฎกระทรวงตามความในมาตรา 13(6)\u0000ผลการวิจัย: กฎกระทรวงนั้นมีการควบคุมการพิจารณาทางปกครอง เพื่อป้องกันความไม่เป็นกลางในทางภาวะวิสัยหรือความไม่เป็นกลางโดยสภาพภายนอก  แต่เมื่อพิจารณาข้อความของกฎหมายที่ใช้คำว่า “เป็น”หริอ “เคยเป็น” อันไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน อาจส่งผลกับผู้พิจารณาทางปกครองที่เป็นคู่กรณีต้องผูกพันในฐานะดังกล่าวไปตลอดชีวิต หากผู้พิจารณาทางปกครองเคยมีความสัมพันธ์กับคู่กรณีในฐานะที่ “เป็น” หรือ “เคยเป็น”  เป็นการยากในการพิสูจน์จากคู่กรณีที่ถูกพิจารณาทางปกครองว่าสถานะ “เป็น” หรือ “เคยเป็น” มีหลักฐานใดที่นำสืบเพื่อเป็นข้ออ้างได้ เพื่อเป็นข้อคัดค้านการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา 14 วรรค 1 อีกทั้งกฎกระทรวงดังกล่าวยังมีการบังคับใช้กฎหมายในสถานะของคู่กรณีที่ไม่ได้ปรากฎชัดตามกฎหมายที่รับรองสถานะที่ปรากฎตามทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การที่ไม่ได้มีกฎหมายที่ตีตราทางทะเบียนที่รับรองสถานะไว้ทำให้ยากต่อการพิสูจน์เพื่อการคัดค้านอีกกรณีหนึ่ง จะเห็นได้ว่ากฎกระทรวงดังกล่าวมีลักษณะเป็นการเขียนในขอบเขตที่กว้าง จำกัดสิทธิ เสรีภาพของคู่กรณีตามรัฐธรรมนูญกำหนด ยากต่อการพิสูจน์สถานะ แม้ว่าจะเป็นการรัดกุมเพื่อป้องกันการพิจารณาทางปกครองที่ไม่เป็นกลาง แต่ก็เป็นข้อกังวลที่อาจมีการคัดค้านการพิจารณาทางปกครองมากขึ้น อันทำให้การพิจารณาทางปกครองล่าช้าไปโดยปราศจากเหตุอันสมควร\u0000สรุปผล: แม้ว่าวัตถุประสงค์ของกฎระเบียบเหล่านี้คือเพื่อป้องกันอคติ แต่ก็ทำให้เกิดความคลุมเครือโดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และขัดขวางกระบวนการตัดสินที่เป็นกลาง การเข้าถึงอย่างกว้างขวางทำให้เกิดความล่าช้าที่ไม่สมเหตุสมผลในการทบทวนของฝ่ายบริหาร โดยการจำกัดสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ และทำให้กระบวนการตรวจสอบยากขึ้น","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 9","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141369378","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การจัดการความรู้ต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 การจัดการความรู้ต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.276652
อชิรญา เวียงแก, สรัญณี อุเส็นยาง
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การพัฒนาองค์กรในทันกับยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี และกระแสโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งการพัฒนาองค์กรให้มีนวัตกรรมในองค์กรเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง และการจัดการความรู้ก็เป็นอีกประการที่ทุกองค์ควรปรับให้มี เนื่องจากเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรนวัตกรรม ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 เป็นองค์กรที่กำหนดกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ เพื่อให้องค์กรดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยงานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการจัดการความรู้ของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาค เขต 5 2) เพื่อศึกษาระดับการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปา ส่วนภูมิภาคเขต 5 และ 3) เพื่อศึกษาการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปา ส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5ระเบียบวิธีการวิจัย: ประชากรที่ทำการวิจัยครั้งนี้ เป็นพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ระดับปฏิบัติการ ระดับ 1-7 ในสังกัดการประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 จำนวนทั้งสิ้น 415 คน โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวมรวมข้อมูล แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน อายุการทำงาน และสายงานที่ปฏิบัติ/สังกัดงาน ส่วนที่ 2 สอบถามเกี่ยวกับระดับความคิดเห็นด้านการจัดการความรู้ และส่วนที่ 3 สอบถามเกี่ยวกับการเป็นองค์กรนวัตกรรมขององค์กร ผู้วิจัยทำการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบสอบถามผ่านระบบออนไลน์ (Online survey) ซึ่งใช้การสร้างแบบสอบถามใส่ Google form ควบคู่ไปกับการส่งแบบสอบถามช่องทางแอพพลิเคชั่นไลน์กลุ่มหัวหน้างานอำนวยการ การประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัดการประปา ส่วนภูมิภาคเขต 5 ทุกสาขา จำนวน 20 สาขา จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 201 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยโปรแกรมสำเร็จรูป ทางคอมพิวเตอร์ผลการวิจัย: ผลการศึกษาพบว่า (1) ระดับการจัดการความรู้ของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านการสร้างความรู้ ด้านการแสวงหาความรู้ ด้านการจัดเก็บและการสืบค้นความรู้ และด้านการเผยแพร่และประยุกต์ใช้ความรู้ ตามลำดับ (2) ระดับการเป็นองค์กรนวัตกรรมของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ และด้านนวัตกรรมกระบวนการ และ(3) การจัดการความรู้ส่งผลต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสามารถอธิบายการ แปรผันการเป็นองค์กรนวัตกรรมของพนักงาน ได้ร้อยละ 74.30สรุปผล: ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญที่โดดเด่น ในการจัดการความรู้ ซึ่งส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้นในด้านต่างๆ เช่น การบริการ กระบวนการ และผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างการจัดการความรู้และนวัตกรรมขององค์กรยังเน้นย้ำถึงหน้าที่สำคัญของการนำความรู้ไปใช้ในการส่งเสริมนวัตกรรมภายใต้กรอบของการประปาส่วนภูมิภาค
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:การพัฒนาองค์กรในทันกับยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีแปละกระแสิลายคุโลกาภิวัฒน์ฒฒฒฒฒฒฒฒฒฒฒฒฒฒเนื่องจากเป็็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในารพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรนวัตกรรม ซึ่งการประปาส่วนภูิมภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูิมภาคเขต 5 เป็นองค์กรที่กำหนดกลยุทธ์และวัสยทัศน์เพื่อให้องค์กรดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยงานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการจัดการความรู้อขงพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาค เตข 5 2)เพื่อศึกษาระดับารเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปา ส่วนภูมิภาคเต 5 และ 3)เพื่อศึกษาการจัดากรความรู้ที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปา ส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5ระเบียบวิธีการวิจัย:ประชากรที่ทำการวิจัยครั้งนี้ เป็นพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ระดับปฏิบัติการ ระดับ 1-7 เE43↩นสังกัดการประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 จำนวนทั้งสิ้น 415 คน โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวมรวมข้อมูล3 ส่วน ส่วนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายดไ้เฉลี่ยต่อเดือนอายุการทำงาน และสายงานที่ปฏิบัติ/สังกัดงาน ส่วนที่ 2 สอบถามเกี่ยวกับระดับความคิดเห็จัดการความรู้และส่วนที่ 3 สอบถามเกี่ยวับการเป็นองค์กรนวักตรมขององค์กร ผู้วิจัยทำการเกบ็ข้อมูลจากลุมตัวอย่างโดยใช้แบบสอบถามผ่านระบบอนไลน์ (Online survey) ซึ่งใช้การสร้างแบบสอบถามใส่ Google formควบคู่ไปกับการส่งแบสอบถามช่องทางแอพลิเคชั่นไลน์กลุมหัวหน้างานอำนวยการ การประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัดารประา ส่วนภูมิภาคเต5 ทุกสาขา จำนวน 20 สาขา จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 201 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยโปรแกรมสำเร็จรูป ทางคอมพิวเตอร์ผลการวิจัย:ผลากรศึษาพบว่า (1) ระดับารจัดการความรู้ของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านการสร้างความรู้าใช้ความรู้ตามลำดับ (2) ระดับการเป็นองค์กรนวัตกรมของพนักงงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขาในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 ภาพรวมยอู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ และด้านวัตกรรมกระบวนการ และ(3)การจัดการความรู้ส่งผลต่อการเป็นองค์กรนวตักรมของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสามารถอธิบายการแปรผันการเป็นงอค์กรนวัตกรมของพนักงาน ได้ร้อยละ 74.30สรุปผล:ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญที่โดดเด่น ในการจัดการความรู้ ซึ่งส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้นในด้านต่างๆ เช่น การบริการ กระบวนการและผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างการจัดการความรู้และนวัตกรรมขององค์กรยังเน้นย้ำถึงหน้าที่สำคัญของการนำความรู้ไปใช้ในการส่งเสริมนวัตกรรมภายใต้กรอบของการประปาส่วนภูมิภาค
{"title":"การจัดการความรู้ต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5","authors":"อชิรญา เวียงแก, สรัญณี อุเส็นยาง","doi":"10.60027/iarj.2024.276652","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276652","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การพัฒนาองค์กรในทันกับยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี และกระแสโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งการพัฒนาองค์กรให้มีนวัตกรรมในองค์กรเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง และการจัดการความรู้ก็เป็นอีกประการที่ทุกองค์ควรปรับให้มี เนื่องจากเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรนวัตกรรม ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 เป็นองค์กรที่กำหนดกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ เพื่อให้องค์กรดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยงานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการจัดการความรู้ของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาค เขต 5 2) เพื่อศึกษาระดับการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปา ส่วนภูมิภาคเขต 5 และ 3) เพื่อศึกษาการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปา ส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: ประชากรที่ทำการวิจัยครั้งนี้ เป็นพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ระดับปฏิบัติการ ระดับ 1-7 ในสังกัดการประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 จำนวนทั้งสิ้น 415 คน โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวมรวมข้อมูล แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน อายุการทำงาน และสายงานที่ปฏิบัติ/สังกัดงาน ส่วนที่ 2 สอบถามเกี่ยวกับระดับความคิดเห็นด้านการจัดการความรู้ และส่วนที่ 3 สอบถามเกี่ยวกับการเป็นองค์กรนวัตกรรมขององค์กร ผู้วิจัยทำการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบสอบถามผ่านระบบออนไลน์ (Online survey) ซึ่งใช้การสร้างแบบสอบถามใส่ Google form ควบคู่ไปกับการส่งแบบสอบถามช่องทางแอพพลิเคชั่นไลน์กลุ่มหัวหน้างานอำนวยการ การประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัดการประปา ส่วนภูมิภาคเขต 5 ทุกสาขา จำนวน 20 สาขา จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 201 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยโปรแกรมสำเร็จรูป ทางคอมพิวเตอร์\u0000ผลการวิจัย: ผลการศึกษาพบว่า (1) ระดับการจัดการความรู้ของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านการสร้างความรู้ ด้านการแสวงหาความรู้ ด้านการจัดเก็บและการสืบค้นความรู้ และด้านการเผยแพร่และประยุกต์ใช้ความรู้ ตามลำดับ (2) ระดับการเป็นองค์กรนวัตกรรมของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ และด้านนวัตกรรมกระบวนการ และ(3) การจัดการความรู้ส่งผลต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสามารถอธิบายการ แปรผันการเป็นองค์กรนวัตกรรมของพนักงาน ได้ร้อยละ 74.30\u0000สรุปผล: ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญที่โดดเด่น ในการจัดการความรู้ ซึ่งส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้นในด้านต่างๆ เช่น การบริการ กระบวนการ และผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างการจัดการความรู้และนวัตกรรมขององค์กรยังเน้นย้ำถึงหน้าที่สำคัญของการนำความรู้ไปใช้ในการส่งเสริมนวัตกรรมภายใต้กรอบของการประปาส่วนภูมิภาค","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 6","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141369031","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล ในการป้องกันและควบคุม โรค COVID-19 ตำบลผาสุก อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล ในการป้องกันและควบคุม โรค COVID-19 ตำบลผาสุก อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.273888
อาภากานต์ คลื่นแก้ว, อัจฉรา จินวงษ์
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและระบบเศรษฐกิจทั่วทั้งโลก ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นกลไกในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยกระบวนการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพนั้นจะต้องอาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วม พัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมและประเมินผลการใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลในการป้องกันและควบคุมโรค COVID-19ระเบียบวิธีการวิจัย: เก็บข้อมูลเชิงปริมาณในกลุ่มประชากรทั้งหมดของภาคีเครือข่ายคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลผาสุก โดยเลือกแบบเฉพาะเจาะจง(Purposive selection) จำนวน 45 คน และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตพฤติกรรมของผู้เข้าร่วม คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลผาสุก ได้แก่ นายกเทศมนตรีตำบลผาสุก, ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล, กำนัน ซึ่งถูกคัดเลือกมาแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive selection) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นเอง และได้ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (content validity) ได้ค่า IOC เท่ากับ 1 วิเคราะห์ความเชื่อมั่น (reliability) ด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (cronbach alpha coefficient) ผลการทดสอบของแบบสอบถาม ได้ค่าความเชื่อมั่น (reliability) เท่ากับ 0.84 ส่วนในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และการวิเคราะห์การใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลในการป้องกันและควบคุมโรค COVID-19 ก่อนและหลัง โดยใช้สถิติ Paired t-test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เนื้อหาของข้อมูล (Content analysis) การจัดหมวดหมู่ตามประเด็นและปัญหาผลการวิจัย: (1) ภาคีเครือข่าย คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลผาสุกได้มีส่วนร่วมในการสำรวจชุมชนเพื่อการค้นหาปัญหาและสาเหตุของโรค เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาโรคCOVID 19 ในชุมชนและเพื่อการวางแผนการป้องกันและควบคุมโรค COVID 19 ซึ่งหากเมื่อภาคีเครือข่าย คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลผาสุก ได้ดำเนินกิจกรรมตามขั้นตอนนี้แล้วจะทำให้สามารถวิเคราะห์ปัญหาของชุมชนได้อย่างถูกต้อง แล้วนำไปวางแผนการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรค COVID 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (2) รูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลผาสุกในการป้องกันและควบคุมโรคโรค COVID 19 ที่ได้รับการพัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างความตระหนักถึงปัญหาและสาเหตุโรค COVID 19 ขั้นตอนที่ 2 การจัดทำแผนการป้องกันและควบคุมโรค COVID 19 ขั้นตอนที่ 3 การดำเนินงานป้องกันและควบคุม COVID 19 และขั้นตอนที่ 4 การติดตามและประเมินผลป้องกันและควบคุม COVID 19 (3) ผลการประเมินรูปแบบการมีส่วนร่วนของชุมชนในการป้องกันและควบคุมโรค COVID 19 ทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับมาก ซึ่งเมื่อนำไปใช้ในการดำเนินการแล้วมีผลทำให้งานป้องกันและควบคุมโรคมีความชัดเจนและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังส่งผลต่อการกำหนดกิจกรรมและติดตามประเมินผลอย่างมีประสิทธิภ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและระบบเศรษฐกิจทั่วทั้งโลก ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นกลไกในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 โดยกระบวนการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพนั้นจะต้องอาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพือ่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการมี่วนร่วม19ระเบียบวิธีการวิจัย:เก็บข้อมูลเชิงปริมาณในกลุ่มประชากรทั้งหมดของภาคีเครออข่ายคณะกรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลผาสุก โดยเลอืกแบเฉพาะเจาะจง(Purposive selection) จำนวน 45 คนเด็กเด็กเมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้แบสัมภาษณ์เชิงลก และการสังเตพฤติกรรมของผู้เข้าร่วม คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลผาสุก ได้แก่ นายกทเศมนตรีตำบลผาสุก、ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล、目的性选择) เครืองมอที่ใช้ในการเก็รวบรวมข้อมูล คอ แบสอบถามที่ผูวิจัยได้สร้างขอที่ใช้ในการเก็รวบรวมข้อมูล คอ แบสอบถามที่ผู้วิจัยได้สร้างขอที่ผ่านการตรวจสอบคาเที่ยงตรงเชิงเนือหา(内容效度) เท่ากับ 1 วิเคราะห์ความเช่ือมั่น (可靠性) ด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิแอลฟาของครอนบาค(cronbach alpha coefficient) ผลากรทดสอบของแบบสอบถาม ได้ค่าความเชอืมั่น (reliability) เท่ากับ 0.84 ส่วนในด้านการวิเคราะห์ข้อมมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ดไ้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมตารฐานและค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และการวิเคราะห์การใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลในการป้องกันและควบคุมโรค covid-19 ก่อนและหาง โดยใชส้ถิติ Paired t-test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เนื้อหาของข้อมูล (内容分析) การจัดหมวดหมู่ตามประเด็นแลปะัญหาผลการวิจัย:(1) ภาคีเครือข่ายคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลผาสุกได้มี่สวนร่วมในการสำรวจชุมชนเพื่อการค้นหาปัญหาและสาเหตุของโรเด็กเด็กเด็ปัญผผ↩เด็กรมตามขันตันตอนี้แล้วจะทำใหาสามารถวิเคราะห์ปัญหาของชุมชนได้อย่างถูกต้อง แล้วนไำปวางแผนการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรค covid 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (2)รูปแบารมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย คณะกรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลผาสุกในการป้องกันและควบคุมโรคโคร covid 19 ที่ได้รับการพัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่1 การสร้างความตระหนักถึปงัญหาและสาเหตุโรค covid 19 ขั้นตอนที่ 2 การจัดทำแผนการปอ้งกันและควบคุมโรค covid 19 ขั้นตอนที่ 3 การดำเนินงานป้องกันและควบคุม covid 194 การติดตามแลปะระเมินผลป้งกันและควบคุม covid 19 (3) ผลการประเมินรูปแบบารมีส่วนร่วนของชุมชนในการป้องกันและควบคุมโรค covid 19 ทั้ง 3 ด้าน อยู่ในรระดับมากเด็กเด็กเด็ปใช้ในการดำเนินการแล้มวีผลทำให้งานป้งันและควบคุมรมีคมวามชัดเจนและเป็นระบมกายิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังส่งผลต่อการรกำหนดิกจรรมและติดตามประเมินผอลย่างีประสิทธิภาพสามารถลดปัญหาอุปสรคเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรและการกระตุ้นให้เครือข่ายมีควากระตือรร้นปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดีสรุปผล:วิจัยนี้สามารถประเมินผลของภาคีเคอืข่ยา คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล (พชต.) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และดปัญหาอุปสรคอขงการมีส่วนร่วมในเรื่องการบริหารจัดากรทรัพยากรและการกระตุ้นให้เครือข่ายมีความกระตือรือร้นในการดำเนินงานรวมไปถึงการสนับสนุนเรื่ององค์ความรู้ให้กับภาคีเครือข่าย และสนับ
{"title":"การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบล ในการป้องกันและควบคุม โรค COVID-19 ตำบลผาสุก อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี","authors":"อาภากานต์ คลื่นแก้ว, อัจฉรา จินวงษ์","doi":"10.60027/iarj.2024.273888","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.273888","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและระบบเศรษฐกิจทั่วทั้งโลก ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นกลไกในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยกระบวนการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพนั้นจะต้องอาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วม พัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมและประเมินผลการใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลในการป้องกันและควบคุมโรค COVID-19\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: เก็บข้อมูลเชิงปริมาณในกลุ่มประชากรทั้งหมดของภาคีเครือข่ายคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลผาสุก โดยเลือกแบบเฉพาะเจาะจง(Purposive selection) จำนวน 45 คน และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตพฤติกรรมของผู้เข้าร่วม คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลผาสุก ได้แก่ นายกเทศมนตรีตำบลผาสุก, ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล, กำนัน ซึ่งถูกคัดเลือกมาแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive selection) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นเอง และได้ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (content validity) ได้ค่า IOC เท่ากับ 1 วิเคราะห์ความเชื่อมั่น (reliability) ด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (cronbach alpha coefficient) ผลการทดสอบของแบบสอบถาม ได้ค่าความเชื่อมั่น (reliability) เท่ากับ 0.84 ส่วนในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และการวิเคราะห์การใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลในการป้องกันและควบคุมโรค COVID-19 ก่อนและหลัง โดยใช้สถิติ Paired t-test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เนื้อหาของข้อมูล (Content analysis) การจัดหมวดหมู่ตามประเด็นและปัญหา\u0000ผลการวิจัย: (1) ภาคีเครือข่าย คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลผาสุกได้มีส่วนร่วมในการสำรวจชุมชนเพื่อการค้นหาปัญหาและสาเหตุของโรค เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาโรคCOVID 19 ในชุมชนและเพื่อการวางแผนการป้องกันและควบคุมโรค COVID 19 ซึ่งหากเมื่อภาคีเครือข่าย คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลผาสุก ได้ดำเนินกิจกรรมตามขั้นตอนนี้แล้วจะทำให้สามารถวิเคราะห์ปัญหาของชุมชนได้อย่างถูกต้อง แล้วนำไปวางแผนการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรค COVID 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (2) รูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับตำบลผาสุกในการป้องกันและควบคุมโรคโรค COVID 19 ที่ได้รับการพัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การสร้างความตระหนักถึงปัญหาและสาเหตุโรค COVID 19 ขั้นตอนที่ 2 การจัดทำแผนการป้องกันและควบคุมโรค COVID 19 ขั้นตอนที่ 3 การดำเนินงานป้องกันและควบคุม COVID 19 และขั้นตอนที่ 4 การติดตามและประเมินผลป้องกันและควบคุม COVID 19 (3) ผลการประเมินรูปแบบการมีส่วนร่วนของชุมชนในการป้องกันและควบคุมโรค COVID 19 ทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับมาก ซึ่งเมื่อนำไปใช้ในการดำเนินการแล้วมีผลทำให้งานป้องกันและควบคุมโรคมีความชัดเจนและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังส่งผลต่อการกำหนดกิจกรรมและติดตามประเมินผลอย่างมีประสิทธิภ","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 43","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141369978","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง
Pub Date : 2024-06-07 DOI: 10.60027/iarj.2024.276386
กนกศักดิ์ ทินราช, วิภาดา ประสารทรัพย์
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์ : การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง และ4) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลางระเบียบวิธีการวิจัย : กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร กรุงเทพกลาง จำนวน 40 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา หัวหน้างานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หัวหน้างานวิชาการและครูในสถานศึกษา รวมทั้งสิ้น 320 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น .988 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนผลการวิจัย : 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง โดยภาพรวมและทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิผลการบริหารวิชาการ สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารวิชาการของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันและมีความสัมพันธ์ทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ซึ่งมีค่าสหสัมพันธ์ระหว่าง .657 ถึง .728 และ4) ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีจัดการเรียนรู้และการเรียนการสอน การใช้เทคโนโลยีในการวัดผลและประเมินผล ความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ และการสนับสนุน ส่งเสริมและบูรณาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการสรุปผล: มีค่าสหสัมพันธ์พหุคูณของตัวแปรเท่ากับ .690 ค่าอำนาจการพยากรณ์ร้อยละ 47.60 ค่าความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นจากการพยากรณ์เท่ากับ .308 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สามารถสร้างสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน คือ     Y = 1.105 + 0.414X2 + 0.313X3 + 0.249X1 + 0.139X4 Z= 0.412Z2 + 0.330Z3 + 0.270Z1 + 0.142Z4
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์ :การวจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ 1) เพือศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลียีสารสนเท↪LoE28↩ของผู้บริหารสถาน↪LoE28↩ึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลากรอถหานวิชากรของสถหานศึกษาสังกันรุงเทพมหานคร กุ่มกรุงเทพมหาน 3)เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลางระเบียบวิธีการวิจัย :ศึกษาสังกัดรุงเทพมหานว จำนวน 40 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึษาน988 สติเชอืมั่น .988 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนผลการวิจัย :1) ระดับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรงเทพกลางเด็กเด็กรับมา 2) ระดับประสิทธิผลการบริหารวิชาการ สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรงุเทพกลาง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมา3)ภาวะผู้นำเชิงเทคโนลยีสารสนเท↪LoE28↩ของผู้บริหารสถาน↪LoE28↩ึกษากับประสิท↪LoE18↩ิ↪LoE1C↩ลการบริหารวิชาการของสถาน↪LoE28↩ึกษา สังกัดรุงเทพมหานครมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันและมีความสัมพันธ์ทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถติที่ระดับ 0.01 ึซ่งมีค่าสัพันธ์ระหว่าง .657 ถึง .728 และ4) ภาวะผู้นำเชิงเทคนโลยีสารนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลารบริหารงถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง ไดแก้่การใช้เทคโนโลยีจัดการเรียนรู้และการเรียนการสอน การใช้เทคโนโลยีในการวัดผลและประเมินผล ความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ และการสนับสนุน ส่งเสริมและบูรณาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการสรุปผล:มีค่าสหัมพันธ์หุคูณของตัวแปรเท่ากับ .690 ค่าอำนาจการพยากรณ์ร้อยละ 47.60 ค่าความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นจาการพยากรณ์เท่ากับ .308 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สามารถสร้างสมากรพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน คือ y= 1.105 + 0.414x2 + 0.313x3 + 0.249x1 + 0.139x4 z= 0.412z2 + 0.330z3 + 0.270z1 + 0.142z4
{"title":"ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง","authors":"กนกศักดิ์ ทินราช, วิภาดา ประสารทรัพย์","doi":"10.60027/iarj.2024.276386","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276386","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์ : การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง และ4) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย : กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร กรุงเทพกลาง จำนวน 40 แห่ง ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา หัวหน้างานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หัวหน้างานวิชาการและครูในสถานศึกษา รวมทั้งสิ้น 320 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น .988 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน\u0000ผลการวิจัย : 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง โดยภาพรวมและทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2) ระดับประสิทธิผลการบริหารวิชาการ สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารวิชาการของสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันและมีความสัมพันธ์ทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ซึ่งมีค่าสหสัมพันธ์ระหว่าง .657 ถึง .728 และ4) ภาวะผู้นำเชิงเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีจัดการเรียนรู้และการเรียนการสอน การใช้เทคโนโลยีในการวัดผลและประเมินผล ความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ และการสนับสนุน ส่งเสริมและบูรณาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการ\u0000สรุปผล: มีค่าสหสัมพันธ์พหุคูณของตัวแปรเท่ากับ .690 ค่าอำนาจการพยากรณ์ร้อยละ 47.60 ค่าความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นจากการพยากรณ์เท่ากับ .308 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สามารถสร้างสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน คือ     \u0000Y = 1.105 + 0.414X2 + 0.313X3 + 0.249X1 + 0.139X4\u0000 Z= 0.412Z2 + 0.330Z3 + 0.270Z1 + 0.142Z4","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 26","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141371013","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
นโยบายการลดขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste) : เครื่องมือการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน นโยบายการลดขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste) : เครื่องมือการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
Pub Date : 2024-06-07 DOI: 10.60027/iarj.2024.276206
สุรีย์พร สลับสี
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชากรและสภาพแวดล้อม โดยหนึ่งในวิธีการสำคัญคือการนำนโยบายการลดขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste) มาใช้ในกระบวนการพัฒนาเมือง นโยบายนี้เป็นการพัฒนาเมืองโดยสร้างระบบการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ช่วยลดปัญหามลพิษ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างโอกาสในการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การเติบโตของเมืองที่มีคุณภาพ ยั่งยืน และสมดุลกับสิ่งแวดล้อม จากการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนแนวคิด นำเสนอตัวอย่างการนำนโยบายการลดขยะเป็นศูนย์ไปใช้ทั้งในต่างประเทศและประเทศไทย และนำเสนอแนวทางการนำนโยบายดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาเมืองของประเทศไทยระเบียบวิธีการศึกษา: การศึกษานี้ใช้การรวบรวมและสังเคราะห์ข้อมูลทางวิชาการด้วยกระบวนการทบทวนวรรณกรรมจากแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง แล้วนำมาสกัดสังเคราะห์ข้อมูลและเรียบเรียงเป็นบทความผลการศึกษา: จากการศึกษา พบว่า การลดขยะเป็นศูนย์เป็นแนวคิดและนโยบายที่มุ่งหวังให้ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการสร้างขยะที่ไม่จำเป็นในทุกขั้นตอน ซึ่งจะช่วยจัดการทรัพยากร ลดปัญหามลพิษและสิ่งปฏิกูล และเสริมสร้างเมืองให้มีคุณภาพและยั่งยืน การนำนโยบายนี้มาใช้พัฒนาเมืองจะส่งผลให้เมืองเติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพในระยะยาว โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และการสร้างความตระหนักรู้ของประชาชนสรุปผล: นโยบายการจัดการขยะเป็นศูนย์เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการป้องกันการเกิดขยะตั้งแต่ต้นทาง ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยให้เมืองสามารถพัฒนาไปได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของนโยบายนี้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งการปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของประชาชน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบการจัดการขยะ รวมถึงการกำหนดนโยบายและมาตรการสนับสนุนที่เหมาะสม
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชากรและสภาพแวดล้อม โดยหนึ่งในวิธีการสำคัญคอืการนำนโยบายการลดยะเป็นศูนย์ (Zero Waste)มาใช้ในกระบวนการพัฒนาเมือง นโยบายนี้เป็นการพัฒนาเมืองโดยสร้างระบบการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ช่ยวลดปัญหามลพิษ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้ออและสรางโอกาสในการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การเติบโตของเมืองที่มีคุณภาพ ยั่งยืน และสมดุลกับสิ่งแวดล้อม จาการศึษกานี้มีวัตถุประสงค์เพอืทบทนวแนวคิดนำเสนอตัวอย่างการนำนโยบายการดขยะเป็นศูนย์ไปใช้ทั้งในต่างประเทศและประเทศไทยและนำเสนอแนวทางการนำนโยบายัดงกล่าวมาใช้ในการพัฒนาเมอืงของประเทศไทยระเบียบวิธีการศึกษา:การศึษานี้ใช้าการวบรวมและสังเคราะห์ข้มูลทางวิชาการด้วยการระบวนารทบทนวรณกรรมจากแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง แล้วนำมาสัดสังเคราะห์ข้อมูลแเรียงเป็นบทความผลากรศึษา:จาการศึกษา พบว่า การลดยขะเป็นศูนย์เป็นแนวคิดและนโยบายที่มุ่งหวังให้ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดารสร้างขยะที่ไมจำเป็นในทุกขันตอน ซึ่งจะช่วยจัดการทรัพยากร ลดปัญหามลพิษและสิ่งปฏิกูล และเสิรมสร้างเมืองให้มีคุณภาพและยัง่ยนเด็การนำนโยบายนี้มาใชพัฒนาเมืองจะส่งผลให้เมืองเติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพในระยะยาว โดยไมทำาลยสิ่งแวดลอ้มและคุณภาพชีวิตขงประชานเด็กเจ็กทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และารส้าความตระหนักรู้ของประชาชนสรุปผล:นโยบายการจัดการขยะเป็นศูนย์เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการป้องกันการเกิดขยะตั้งแต่ต้นทาง ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืนรวมถึงสนับสนุนารพัฒนาเศรษฐกจิหมุนเวียน ซ่ึงจะช่วยให้เมอืงสามารถพัฒนาไปได้อยนอย่างไรก็ตามความสำเร็จของนโยบายนี้ขึ้นอยู่กับความร่วมอจากทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งการปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของประชาชน螒蟺位慰委伪蟻蠂慰蠀渭蔚 蟿慰谓 蟺蔚蟻喂蟽渭苇谓慰蠀渭蔚 蟿慰谓 蟺蔚蟻喂蟽渭苇谓慰蠀渭蔚 蟿慰谓 蟺蔚蟻喂蟽渭苇谓慰蠀渭蔚 蟿慰谓 蟺蔚蟻喂蟽渭苇谓慰蠀渭蔚 蟿慰谓 蟺蔚蟻喂蟽渭苇谓慰蠀渭蔚.
{"title":"นโยบายการลดขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste) : เครื่องมือการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน","authors":"สุรีย์พร สลับสี","doi":"10.60027/iarj.2024.276206","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276206","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชากรและสภาพแวดล้อม โดยหนึ่งในวิธีการสำคัญคือการนำนโยบายการลดขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste) มาใช้ในกระบวนการพัฒนาเมือง นโยบายนี้เป็นการพัฒนาเมืองโดยสร้างระบบการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ช่วยลดปัญหามลพิษ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างโอกาสในการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การเติบโตของเมืองที่มีคุณภาพ ยั่งยืน และสมดุลกับสิ่งแวดล้อม จากการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนแนวคิด นำเสนอตัวอย่างการนำนโยบายการลดขยะเป็นศูนย์ไปใช้ทั้งในต่างประเทศและประเทศไทย และนำเสนอแนวทางการนำนโยบายดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาเมืองของประเทศไทย\u0000ระเบียบวิธีการศึกษา: การศึกษานี้ใช้การรวบรวมและสังเคราะห์ข้อมูลทางวิชาการด้วยกระบวนการทบทวนวรรณกรรมจากแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง แล้วนำมาสกัดสังเคราะห์ข้อมูลและเรียบเรียงเป็นบทความ\u0000ผลการศึกษา: จากการศึกษา พบว่า การลดขยะเป็นศูนย์เป็นแนวคิดและนโยบายที่มุ่งหวังให้ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการสร้างขยะที่ไม่จำเป็นในทุกขั้นตอน ซึ่งจะช่วยจัดการทรัพยากร ลดปัญหามลพิษและสิ่งปฏิกูล และเสริมสร้างเมืองให้มีคุณภาพและยั่งยืน การนำนโยบายนี้มาใช้พัฒนาเมืองจะส่งผลให้เมืองเติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพในระยะยาว โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และการสร้างความตระหนักรู้ของประชาชน\u0000สรุปผล: นโยบายการจัดการขยะเป็นศูนย์เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการป้องกันการเกิดขยะตั้งแต่ต้นทาง ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยให้เมืองสามารถพัฒนาไปได้อย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของนโยบายนี้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งการปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของประชาชน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบการจัดการขยะ รวมถึงการกำหนดนโยบายและมาตรการสนับสนุนที่เหมาะสม","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 18","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141374467","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
เทคโนโลยีการบริหารสถานศึกษาเพื่อความปลอดภัย เทคโนโลยีการบริหารสถานศึกษาเพื่อความปลอดภัย
Pub Date : 2024-06-07 DOI: 10.60027/iarj.2024.276222
สุนันทา จันทร์ชูกลิ่น, จำรัส แจ่มจันทร์, ภูมิภควัธจ์ ภูมพงศ์คชศร
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: เทคโนโลยีการบริหารสถานศึกษาเพื่อความปลอดภัยมีภูมิหลังที่สำคัญทั้งการป้องกันอันตรายภายนอกและภายในโรงเรียน โดยมุ่งเน้นการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากร วัตถุประสงค์สำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้แก่สมาชิกทุกคนในชุมชนการศึกษา โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างการตรวจสอบและการระงับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ที่ปลอดภัยและเต็มไปด้วยความสุขในวงการการศึกษาระเบียบวิธีการศึกษา: การศึกษาโนโลยีการบริหารสถานศึกษาเพื่อความปลอดภัยมีขั้นตอนและระเบียบวิธีที่สำคัญ เช่น การวิเคราะห์ความเสี่ยงทางด้านความปลอดภัยในโรงเรียน การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น ระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) หรือระบบการแจ้งเตือนฉุกเฉิน การอบรมและการสอนให้ความรู้แก่บุคลากรและนักเรียนเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัย การจัดทำแผนการปฏิบัติงานในกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น โดยมุ่งเน้นการทำให้ผู้เกี่ยวข้องทุกคนเข้าใจและปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็นสุขของทุกคนในสถานศึกษาผลการศึกษา: การบริหารสถานศึกษาด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเป็นการพัฒนาเครื่องมือและระบบที่ช่วยให้การบริหารจัดการสถานศึกษามีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น กล้องวงจรปิด (CCTV) ระบบบันทึกข้อมูลอัตโนมัติ ระบบเข้าถึงที่มีการยืนยันตัวตน หรือระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในสถานศึกษา ทำให้ผู้บริหารสามารถดูแลและควบคุมสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น การสร้างเทคโนโลยีการบริหารสถานศึกษาเพื่อความปลอดภัยเป็นส่วนสำคัญในการให้ความสำคัญต่อความเจริญของสถานศึกษาและความเชื่อมั่นของประชาชนในการให้บริการทางการศึกษาสรุปผล: การใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในสถาบันการศึกษา เช่น การควบคุมการเข้าถึง กล้องวงจรปิด และระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ ช่วยสร้างความไว้วางใจในคุณภาพการศึกษาที่มอบให้และสนับสนุนความสำเร็จของสถาบัน
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:เทคโนเที่สำคัญทั้งการร้องกันตรายภายในโรงเรียนโดยมุ่งเน้นการปรับใชเทคโนลยีเพื่อเพิ่มประสิท↪LoE18↩ิภาพ↪LoE43↩นการดูแลรักษาความปอดภัยของนักเรียนและบุคลากรวัตถุประสงค์สำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้แก่สมาชิกทุกคนในชุมชนการศึกษา โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างการตรวจสอบและการระงับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพือ่สนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ที่ปลอภัยและเต็มไปด้วยความสุขในวงกกรารศึษาระเบียบวิธีการศึกษา:เด็กเด็กเสศเสถเสศที่สำคัญ เช่นการวิเคราะห์ความเสี่ยงทางด้านความลปอดภัยในโรงเรียน การเลอืกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น ระบบกล้องวงจรปิด (cctv) หรือระบการแจ้งเตือนฉุกเฉินการอบรมและการสอนให้ความรู้แก่บุคลากรและนักเรียนเกี่ยวกับมาตรการความปอลดภัย การจัดทำแผนการปฏิบัติงานในกรณีฉุกเฉิน เปน็ต้นโดยมุ่งเน้นการทำให้ผู้เกี่ยวข้องทุกคนเข้าใจและปฏิบัติตามขัน้ตอนที่างเพื่รอกษาความปลอดภัยและความเป็นสุของทุกคนในสถานศึกษาผลการ↪LoE28↩ึกษา:ศศึกษาด้วยเทคโนโลยีเพื่คอวามปลอดภัยเป็นการพัฒนาเครื่องมือและระบบที่ช่วยใหารจัดากรสถานศึกษามีประสิทธิภาพและปอดภัยมากย่งึข้นโดยใช้เทคนโลยีที่ทันสมัย เช่น กล้องวงจรปิด (cctv) ระบบบันทึกข้อมูลอัตนโมัติ ระบบเข้าถ↩ึงที่มีการยืนยันตัตวน หรือรบบแจ้งเตือัตโนมัติเพือช่วยลดอุบัตัเหลอการณ์ที่ไ่มคาดคิดในสถาน↪LoE28↩ึกษา ทำให้ผู้บริหารสามารถดูและควบคุมสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดอภัยมากยิงข้นการสร้างเทคโนโลยีการบริหารสถานศึกษาเพื่อความปลอดภัยเป็นส่วนสำคัญในการให้ความสำคัญต่อความเจริญของสถานศึกษาและความเชื่อมั่นของประชาชนในการให้บริการทางการศึกษาสรุปผล:การใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลดอภัยในสถาบันการศึกษา เช่น การควบคุมการเข้าถึง กล้งอวงจรปิดและระบแจ้งเตืนอัตโนมัติ ช่วยสร้างความไว้วางใจในคุณภาพการศึษากที่มอบใหมละสับสนุนควาสำเร็จของสถาบัน
{"title":"เทคโนโลยีการบริหารสถานศึกษาเพื่อความปลอดภัย","authors":"สุนันทา จันทร์ชูกลิ่น, จำรัส แจ่มจันทร์, ภูมิภควัธจ์ ภูมพงศ์คชศร","doi":"10.60027/iarj.2024.276222","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276222","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: เทคโนโลยีการบริหารสถานศึกษาเพื่อความปลอดภัยมีภูมิหลังที่สำคัญทั้งการป้องกันอันตรายภายนอกและภายในโรงเรียน โดยมุ่งเน้นการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากร วัตถุประสงค์สำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้แก่สมาชิกทุกคนในชุมชนการศึกษา โดยใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างการตรวจสอบและการระงับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ที่ปลอดภัยและเต็มไปด้วยความสุขในวงการการศึกษา\u0000ระเบียบวิธีการศึกษา: การศึกษาโนโลยีการบริหารสถานศึกษาเพื่อความปลอดภัยมีขั้นตอนและระเบียบวิธีที่สำคัญ เช่น การวิเคราะห์ความเสี่ยงทางด้านความปลอดภัยในโรงเรียน การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น ระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) หรือระบบการแจ้งเตือนฉุกเฉิน การอบรมและการสอนให้ความรู้แก่บุคลากรและนักเรียนเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัย การจัดทำแผนการปฏิบัติงานในกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น โดยมุ่งเน้นการทำให้ผู้เกี่ยวข้องทุกคนเข้าใจและปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็นสุขของทุกคนในสถานศึกษา\u0000ผลการศึกษา: การบริหารสถานศึกษาด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเป็นการพัฒนาเครื่องมือและระบบที่ช่วยให้การบริหารจัดการสถานศึกษามีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น กล้องวงจรปิด (CCTV) ระบบบันทึกข้อมูลอัตโนมัติ ระบบเข้าถึงที่มีการยืนยันตัวตน หรือระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในสถานศึกษา ทำให้ผู้บริหารสามารถดูแลและควบคุมสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น การสร้างเทคโนโลยีการบริหารสถานศึกษาเพื่อความปลอดภัยเป็นส่วนสำคัญในการให้ความสำคัญต่อความเจริญของสถานศึกษาและความเชื่อมั่นของประชาชนในการให้บริการทางการศึกษา\u0000สรุปผล: การใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในสถาบันการศึกษา เช่น การควบคุมการเข้าถึง กล้องวงจรปิด และระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ ช่วยสร้างความไว้วางใจในคุณภาพการศึกษาที่มอบให้และสนับสนุนความสำเร็จของสถาบัน","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 18","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141375324","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
期刊
Interdisciplinary Academic and Research Journal
全部 Acc. Chem. Res. ACS Applied Bio Materials ACS Appl. Electron. Mater. ACS Appl. Energy Mater. ACS Appl. Mater. Interfaces ACS Appl. Nano Mater. ACS Appl. Polym. Mater. ACS BIOMATER-SCI ENG ACS Catal. ACS Cent. Sci. ACS Chem. Biol. ACS Chemical Health & Safety ACS Chem. Neurosci. ACS Comb. Sci. ACS Earth Space Chem. ACS Energy Lett. ACS Infect. Dis. ACS Macro Lett. ACS Mater. Lett. ACS Med. Chem. Lett. ACS Nano ACS Omega ACS Photonics ACS Sens. ACS Sustainable Chem. Eng. ACS Synth. Biol. Anal. Chem. BIOCHEMISTRY-US Bioconjugate Chem. BIOMACROMOLECULES Chem. Res. Toxicol. Chem. Rev. Chem. Mater. CRYST GROWTH DES ENERG FUEL Environ. Sci. Technol. Environ. Sci. Technol. Lett. Eur. J. Inorg. Chem. IND ENG CHEM RES Inorg. Chem. J. Agric. Food. Chem. J. Chem. Eng. Data J. Chem. Educ. J. Chem. Inf. Model. J. Chem. Theory Comput. J. Med. Chem. J. Nat. Prod. J PROTEOME RES J. Am. Chem. Soc. LANGMUIR MACROMOLECULES Mol. Pharmaceutics Nano Lett. Org. Lett. ORG PROCESS RES DEV ORGANOMETALLICS J. Org. Chem. J. Phys. Chem. J. Phys. Chem. A J. Phys. Chem. B J. Phys. Chem. C J. Phys. Chem. Lett. Analyst Anal. Methods Biomater. Sci. Catal. Sci. Technol. Chem. Commun. Chem. Soc. Rev. CHEM EDUC RES PRACT CRYSTENGCOMM Dalton Trans. Energy Environ. Sci. ENVIRON SCI-NANO ENVIRON SCI-PROC IMP ENVIRON SCI-WAT RES Faraday Discuss. Food Funct. Green Chem. Inorg. Chem. Front. Integr. Biol. J. Anal. At. Spectrom. J. Mater. Chem. A J. Mater. Chem. B J. Mater. Chem. C Lab Chip Mater. Chem. Front. Mater. Horiz. MEDCHEMCOMM Metallomics Mol. Biosyst. Mol. Syst. Des. Eng. Nanoscale Nanoscale Horiz. Nat. Prod. Rep. New J. Chem. Org. Biomol. Chem. Org. Chem. Front. PHOTOCH PHOTOBIO SCI PCCP Polym. Chem.
×
引用
GB/T 7714-2015
复制
MLA
复制
APA
复制
导出至
BibTeX EndNote RefMan NoteFirst NoteExpress
×
0
微信
客服QQ
Book学术公众号 扫码关注我们
反馈
×
意见反馈
请填写您的意见或建议
请填写您的手机或邮箱
×
提示
您的信息不完整,为了账户安全,请先补充。
现在去补充
×
提示
您因"违规操作"
具体请查看互助需知
我知道了
×
提示
现在去查看 取消
×
提示
确定
Book学术官方微信
Book学术文献互助
Book学术文献互助群
群 号:481959085
Book学术
文献互助 智能选刊 最新文献 互助须知 联系我们:info@booksci.cn
Book学术提供免费学术资源搜索服务,方便国内外学者检索中英文文献。致力于提供最便捷和优质的服务体验。
Copyright © 2023 Book学术 All rights reserved.
ghs 京公网安备 11010802042870号 京ICP备2023020795号-1