首页 > 最新文献

Interdisciplinary Academic and Research Journal最新文献

英文 中文
TPACK Ability Test for Junior College Teacher Internship Students in Primary School Chinese 小学中文专业大专实习生 TPACK 能力测试
Pub Date : 2024-07-02 DOI: 10.60027/iarj.2024.276487
Fang Fang, Nainapas Injoungjirakit, Prapai Sridama, S. Teekasap
Background and Aims: TPACK (Technological Pedagogical and Content Knowledge) is an essential ability for teachers in the digital era that has a high effect on the quality of basic education. In this paper, 55 junior college teacher education students in the class of 2021, majoring in elementary education as teacher education students in Guangxi, were measured at the beginning of their educational internships to understand their level of TPACK.Methodology: Using a homemade TPACK measurement tool, a test paper, which experts had evaluated. Research results indicate that the scores in the seven dimensions of TK, PK, CK, TPK, TCK, PCK, and TPCK range from 30.5% to 61%, among which TPK was the highest and TK was the lowest. Overall, the TPACK ability was at a low level.Results: Results showed that the TPACK test results of teacher education students of primary school Chinese will provide an important basis for formulating TPACK improvement strategies in the internship stage.Conclusion: The results show that measuring TPACK competency in Chinese teacher education students in elementary schools is an essential first step toward developing focused tactics to improve TPACK in the internship stage. This realization emphasizes how important it is to match educational interventions to particular skill development requirements to maximize teaching efficacy in elementary school environments.
研究背景与目的:TPACK(Technological Pedagogical and Content Knowledge,技术教学与内容知识)是数字时代教师必备的能力,对基础教育质量影响较大。本文对广西55名2021级小学教育专业大专师范生在教育实习初期的TPACK水平进行了测量:方法:使用自制的TPACK测量工具--试卷,由专家进行评价。研究结果表明,在TK、PK、CK、TPK、TCK、PCK、TPCK七个维度上的得分率在30.5%-61%之间,其中TPK最高,TK最低。总体而言,TPACK 能力处于较低水平:结果表明,小学汉语教师教育专业学生的 TPACK 测试结果将为制定实习阶段的 TPACK 改进策略提供重要依据:结果表明,对小学汉语教师教育专业学生的TPACK能力进行测量,是在实习阶段制定有针对性的TPACK改进策略的第一步。这一认识强调了将教育干预与特定的技能发展要求相匹配,以最大限度地提高小学环境中的教学效率是多么重要。
{"title":"TPACK Ability Test for Junior College Teacher Internship Students in Primary School Chinese","authors":"Fang Fang, Nainapas Injoungjirakit, Prapai Sridama, S. Teekasap","doi":"10.60027/iarj.2024.276487","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276487","url":null,"abstract":"Background and Aims: TPACK (Technological Pedagogical and Content Knowledge) is an essential ability for teachers in the digital era that has a high effect on the quality of basic education. In this paper, 55 junior college teacher education students in the class of 2021, majoring in elementary education as teacher education students in Guangxi, were measured at the beginning of their educational internships to understand their level of TPACK.\u0000Methodology: Using a homemade TPACK measurement tool, a test paper, which experts had evaluated. Research results indicate that the scores in the seven dimensions of TK, PK, CK, TPK, TCK, PCK, and TPCK range from 30.5% to 61%, among which TPK was the highest and TK was the lowest. Overall, the TPACK ability was at a low level.\u0000Results: Results showed that the TPACK test results of teacher education students of primary school Chinese will provide an important basis for formulating TPACK improvement strategies in the internship stage.\u0000Conclusion: The results show that measuring TPACK competency in Chinese teacher education students in elementary schools is an essential first step toward developing focused tactics to improve TPACK in the internship stage. This realization emphasizes how important it is to match educational interventions to particular skill development requirements to maximize teaching efficacy in elementary school environments.","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"49 7","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-07-02","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141687818","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การพัฒนาแนวทางการจัดการความรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษานครราชสีมา การพัฒนาแนวทางการจัดการความรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษานครราชสีมา
Pub Date : 2024-07-02 DOI: 10.60027/iarj.2024.276760
กรกต วัดเข้าหลาม, ลักขณา สริวัฒน์
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ความรู้เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของการพัฒนาคุณภาพงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีลักษณะเฉพาะตัว เนื่องจากความรู้เป็นสิ่งที่มีโดยไม่จำกัด ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม ยิ่งใช้มากยิ่งมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น ยิ่งบุคลากรในสถานศึกษามีความรู้ มากเท่าใด ก็ยิ่งสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้มากขึ้นขึ้นอีก และยังสามารถนำเอาความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นการจัดการความรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา และ (2) พัฒนาแนวทางการจัดการความรู้ ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมาระเบียบวิธีการวิจัย: การดำเนินการวิจัยมี 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น การจัดการความรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 92 คน และครูผู้สอน จำนวน 249 คน ได้มาโดยเปิดตารางของ Krejcie and Morgan (1970)แล้วใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) โดยแต่ละโรงเรียนแบ่งตามขนาดโรงเรียน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ได้จำนวน 341 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ และวิเคราะห์โดยใช้สถิติพื้นฐาน ระยะที่ 2 การพัฒนาแนวทางการจัดการความรู้ ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 4 คน ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาผลการวิจัย: (1) สภาพปัจจุบันการจัดการความรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และลำดับความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ด้านการนำความสู่การปฏิบัติ ด้านการสร้างและแสวงหาความรู้ ด้านการประมวลและกลั่นกรองความรู้ด้านการบ่งชี้ความรู้ และด้านการจัดความรู้ให้เป็นระบบ (2) แนวทางการจัดการความรู้ ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา โดยวิธีการตามวงจรคุณภาพเดมมิ่ง (PDCA) มีการดำเนินการ 6 ขั้นตอน 30 แนวทาง ได้แก่ ขั้นตอนการบ่งชี้ความรู้ 5 แนวทาง ขั้นตอนการสร้างและแสวงหาความรู้ 5 แนวทางขั้นตอนการจัดการความรู้ให้เป็นระบบ 5 แนวทาง ขั้นตอนการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ 5 แนวทาง ขั้นตอนการประมวลและกลั่นกรองความรู้ 5 แนวทางและขั้นตอนการน าความสู่การปฏิบัติ 5 แนวทาง ทั้ง 6 ขั้นตอนดำเนินการตามกระบวนการของวงจรคุณภาพเดมมิ่ง (PDCA) ได้ดังนี้ (P) Plan คือการวางแผนร่วมกันของผู้บริหารและครูผู้สอนในการจัดการความรู้ (D) Do คือการดำเนินการจัดการความรู้ของสถานศึกษาด้วยวิธีการต่าง ๆ (C) Check ผู้บริหารสถานศึกษา มีการนิเทศ ติดตามผลการดำเนินงานของครูทุกท่าน และ (A) Act คือมีการตรวจสอบเก็บรวบรวมสารสนเทศ และสะท้อนผลย้อนกลับสู่ผู้ที่สนใจ โดยผลการประเมินความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับมาก และผลการประเมินความเป็นไปได้โดยรวมอยู่ในระดับมากสรุปผล: สถานภาพการจัดการความรู้ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมาอยู่ในระดับปานกลาง แต่มีเงื่อนไขในอุดมคติอยู่ในระดับสูงที่สุด เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงการสร้างองค์ความรู้ การประยุกต์ การแบ่งปัน และการจัดระบบ นอกจากนี้
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:ความรู้เป็นเครือย่างหนึ่งของการพัฒนาคุณภาพงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีลักษณะเฉพาะตัว เนือจากความรู้เป็นสิ่งที่มีโดยไมจ่ำกัดยิ่งใช้ยิ่งเพิ่มยิ่งใช้มากยิ่งมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น ยิ่งบุคลากรในสถานศึกษามีความรู้ มากเท่าใด ก็ยิ่งสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้มากขึ้นขึ้นอีก และยังสามารถนำเอาความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นการจัดการความรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมาและ (2) พัฒนาแนวาทงการจัดการควารมู้ อขงสถานศกึษาสังกัดสำนังกาเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาคนราชสีมาระเบียบวิธีการวจั:การดำเนินการวิจัยมี 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น การจัดการความรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมากลุ่มตัวอย่างเป็นผูบริหารสถานศึกษ จานวำน 92 คน และครูผู้สอน จำนวน 249 คน ได้มาโดยเปิดตารางของ Krejcie and Morgan(1970)แล้วใช้วิธีการสุ่มแบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) โดยแลต่ะโรงเรียน แบ่งตามขนาดโรงเรียน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย(简单随机抽样) 341 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ และวิเคราะห์โดยใช้สถิติพื้นฐาน ระยะที่ 2การพัฒนาแนวทางการจัดการความรู้ ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานคราชสีมาคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 4 คน ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาผลการวิจัย:(1) สาภพปัจจุบันารจัดการความรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพ้นที่การศึกษามัธยมศึกษานคราชสีมา โดยรวมอยู่ในระดับปนากลาง สาภพที่พประสงค์โดยรวมยู่ในระดับากที่สุด และลำดับความต้องการจำเป็นจากากไปหานี้ ด้านกาและลี่ยนความรู่การปฏิบัติ ด้านการสร้าและสวงหาความรู้งด้านการประมวและกลั่นกรองความรูด้านการบ่งชี้ความรู้ และด้านการจัดความรู้ให้เปน็ระบบ (2)แนวทางการจัดการความรู้ ของสถานศึกษาสังกัดสำนกังานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษานรราชสีมาโดยวิธีการตามวงจรคุณภาพเดมมิ่ง (pdca) มีการดำเนินการ 6 ขั้นตอน 30 แนวทาง ได้แก่ ขั้นตอนการบ่งชี้ความรู้ 5 แนวทาง ขั้นตอนการสร้าง และแสวงหาคาวมรู้ 5แนวทางขั้นตอนการจัดการความรู้ใหเป็นระบ 5 แนวทาง ขั้นตอนการมรู้ 5 แนวทาง ขั้นตอนการประมวและกลั่นกรองความรู้น 5 แนวทาง และขั้นตอนการน6 ขันตอนดำเนินการตามกระบวนการของวงจรคุณภาพเดมมิ่ง (P) Plan คอืการวางแผนร่วมกันของผู้บริหารและครูผู้อสนในการจัดการความรู้น (D) Do(D) Do คือการดำเนินการจัดการความรู้ของสถานศึกษาด้วยวิธีการต่าง ๆ (C) Check ผู้บริหารสถานศึกษา มีการนิเทศ ติดตามผลการดำเนินงานของครูทุกท่าน และ (A) Act คือมีการตรวจสอบเก็บรวบรวมสารสนเทศและสะท้อนผลย้อนกลับสู่ผู้ที่สนใจ โดยผลการประเมินความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับมาก และผลการประเมินความเป็นไปได้โดยรวมอยู่ในระดับมากสรุปผล:สถานภาพการจัดการความรู้ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึษานคราชสีมาอยู่ในระดับสูงที่สุดเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงการสร้างองค์ความรู้ การประยุกต์ การแบ่งปัน และการจัดระบบ นอกจากนี้แนวาทงการจัดการความรู้ที่นำไปใช้ในหกขั้นตอนเชิงกลยุทธ์โดยใช้วงจรเดมิง (pdca) แสดงใหเ็นถึงความเหมาะสมและความเป็นในระดับสูงโดยเน้นย้ำถึงประสิทธภาพที่เป็นไป้ำฏบัติในการเสิทางปฏบัติการจัดการรามรู้ในบริทของการศึษาก
{"title":"การพัฒนาแนวทางการจัดการความรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษานครราชสีมา","authors":"กรกต วัดเข้าหลาม, ลักขณา สริวัฒน์","doi":"10.60027/iarj.2024.276760","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276760","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ความรู้เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของการพัฒนาคุณภาพงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีลักษณะเฉพาะตัว เนื่องจากความรู้เป็นสิ่งที่มีโดยไม่จำกัด ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม ยิ่งใช้มากยิ่งมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น ยิ่งบุคลากรในสถานศึกษามีความรู้ มากเท่าใด ก็ยิ่งสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้มากขึ้นขึ้นอีก และยังสามารถนำเอาความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นการจัดการความรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา และ (2) พัฒนาแนวทางการจัดการความรู้ ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: การดำเนินการวิจัยมี 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น การจัดการความรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 92 คน และครูผู้สอน จำนวน 249 คน ได้มาโดยเปิดตารางของ Krejcie and Morgan (1970)แล้วใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) โดยแต่ละโรงเรียนแบ่งตามขนาดโรงเรียน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ได้จำนวน 341 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ และวิเคราะห์โดยใช้สถิติพื้นฐาน ระยะที่ 2 การพัฒนาแนวทางการจัดการความรู้ ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 4 คน ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา\u0000ผลการวิจัย: (1) สภาพปัจจุบันการจัดการความรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และลำดับความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ด้านการนำความสู่การปฏิบัติ ด้านการสร้างและแสวงหาความรู้ ด้านการประมวลและกลั่นกรองความรู้ด้านการบ่งชี้ความรู้ และด้านการจัดความรู้ให้เป็นระบบ (2) แนวทางการจัดการความรู้ ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา โดยวิธีการตามวงจรคุณภาพเดมมิ่ง (PDCA) มีการดำเนินการ 6 ขั้นตอน 30 แนวทาง ได้แก่ ขั้นตอนการบ่งชี้ความรู้ 5 แนวทาง ขั้นตอนการสร้างและแสวงหาความรู้ 5 แนวทางขั้นตอนการจัดการความรู้ให้เป็นระบบ 5 แนวทาง ขั้นตอนการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ 5 แนวทาง ขั้นตอนการประมวลและกลั่นกรองความรู้ 5 แนวทางและขั้นตอนการน าความสู่การปฏิบัติ 5 แนวทาง ทั้ง 6 ขั้นตอนดำเนินการตามกระบวนการของวงจรคุณภาพเดมมิ่ง (PDCA) ได้ดังนี้ (P) Plan คือการวางแผนร่วมกันของผู้บริหารและครูผู้สอนในการจัดการความรู้ (D) Do คือการดำเนินการจัดการความรู้ของสถานศึกษาด้วยวิธีการต่าง ๆ (C) Check ผู้บริหารสถานศึกษา มีการนิเทศ ติดตามผลการดำเนินงานของครูทุกท่าน และ (A) Act คือมีการตรวจสอบเก็บรวบรวมสารสนเทศ และสะท้อนผลย้อนกลับสู่ผู้ที่สนใจ โดยผลการประเมินความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับมาก และผลการประเมินความเป็นไปได้โดยรวมอยู่ในระดับมาก\u0000สรุปผล: สถานภาพการจัดการความรู้ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมาอยู่ในระดับปานกลาง แต่มีเงื่อนไขในอุดมคติอยู่ในระดับสูงที่สุด เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงการสร้างองค์ความรู้ การประยุกต์ การแบ่งปัน และการจัดระบบ นอกจากนี้","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"42 9","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-07-02","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141688128","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การศึกษาความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวิชูทิศ การศึกษาความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวิชูทิศ
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.276464
ทักษิณา ชัยชนะ, จุฑาภรณ์ มาสันเทียะ, ดารุณี ทิพยกุลไพโรจน์
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ทักษะการพูดเป็นทักษะที่สำคัญในการสื่อสาร เนื่องจากเป็นทักษะเบื้องต้นที่ใช้ในการสื่อสารและการดำเนินชีวิตประจำวันซึ่งมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งความวิตกกังวลในเรื่องการพูดนี้เป็นที่ยอมรับกันว่ามีผลต่อการแสดงออกต่อการพูดของผู้เรียน ความรู้สึกวิตกกังวลความประหม่าเป็นเรื่องที่พบเห็นโดยปกติในการเรียนภาษาที่สองหรือภาษาต่างประเทศ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวิชูทิศ สำนักงานเขตดินแดง สังกัดกรุงเทพมหานคร และ (2) เปรียบเทียบ ความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวิชูทิศ สำนักงาน เขตดินแดง สังกัดกรุงเทพมหานคร ระหว่างนักเรียนที่เรียนในแผนการเรียนแบบปกติและแผนการเรียน แบบภาษาอังกฤษระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2566 จำนวน 186 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม ความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษ แบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 30 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่, ร้อยละ, ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาค่าสถิติทดสอบทีสำหรับเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่เป็นอิสระจากกันผลการวิจัย:  (1) นักเรียนที่เรียนในแผนการเรียนแบบปกติ มีความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษ มีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับรุนแรง (2) นักเรียนที่เรียนแผนการเรียนแบบภาษาอังกฤษมีความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษ มีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับต่ำมาก (3) ความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายโรงเรียนวิชูทิศ ระหว่างนักเรียนที่เรียนในแผนการเรียนแบบปกติและแผนการเรียนแบบภาษาอังกฤษโดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05  สรุปผล: เมื่อพูดภาษาอังกฤษ นักเรียนที่ปฏิบัติตามแผนการเรียนตามปกติจะมีระดับความวิตกกังวลสูงกว่านักเรียนที่ปฏิบัติตามแผนการเรียนภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ แสดงให้เห็นว่าการศึกษาภาษาเฉพาะทางมีประสิทธิภาพในการลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาษาของนักเรียนโรงเรียนวิชุทิศ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:ทักษะารพูดเป็นทักษะที่สำคัญในการสือสารเนือจากเป็นทักษะเบื้องต้นที่ใช้ในการสือสารและการดำเนินชีวิตประจำวันซึ่งมีหายปัจัยที่ส่งผลกระทตบ่อความวิตกังวลในการพูดภษาาอังกฤษซึ่งความวิตกกังวลในเรื่องการพูดนี้เป็นที่ยอมรับกันว่ามีผลต่อการแสดงออกต่อการพูดของผู้เรียน ความรู้สึกวิตกกังวลความประหม่าเป็นเรื่องที่พบเห็นโดยปกติในการเรียนภาษาที่สองหรือภาษาต่างประเทศการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวิชูทิศ สำนักงานเขตดินแดง สังกัดกรุงเทพมหานคร และ (2) เปรียบเทียบความวิตกังวลในากรพูดภาษาอังกฤษาอขงันากเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวิชูทิศ สำนักงนา เขตดินแดงสังกัดกรุงเทพมหานคร ระหว่างนักเรียนที่เรียนในแผนการเรียนแบบปกติและแผนการเรียน แบบภาษาอังกฤษระเบียบวิธีการวิจัย:กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาอตนปลาย ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2566 จำนวน 186 คน โดยใช้ากรสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เรอือที่ใช้ในารวจิยครั้งนีคือ แบบสอบถาม ความวิตกังวลในการพูดภาษาอังกฤษ แบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 30 ข้อ วิเคราะห์ข้อมลูโยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่、ร้อยละ, ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาค่าสถิติทดสอบทีสำหรับเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่ตมัวอย่าง 2 กลุ่มที่เป็นอิสระจากันผลการวิจัย: (1) นักเรียนที่เรียนในแผนการเรียนแบบปกติ มีความวิตกังวลในการพูดภาษาอังกฤษ มีคะแนเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับรุนแรง (2)นักเรียนที่เรียนแผการเรียนแบบภาษาอังกฤษมีความวิตกังวลในการพูดภาษาอังกฤษ มีคะแนเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับต่ำมาก(3)ความวิตกังวลในการพูดภาษาอังกฤษของันกเรียนชั้นประถมศึษาตอนปรายนวิชูทิศเด็กเรียนวชูทิศในแผนการเรียนแบปกติแผนการเรียนแบภาษาอังกฤษโดยภาพรวมแติลางกันอยางมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปผล:เมื่อพูดภาษาอังกฤษ นักเรียนที่ปฏิบัติตามแผนการเรียนตามปกตจิะมีระดับความวิตกังวลสูงกว่านักเรียนที่ปฏิบัติตามแผนการเรียนภาษาอังกฤษโดยเฉพาะแสดงให้ศึษาภาษาเฉพาะทางมีประสิทธิภาพในการลดความวิตกังวลเกี่ยวับภาษาของนักเรียนโทิศ
{"title":"การศึกษาความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวิชูทิศ","authors":"ทักษิณา ชัยชนะ, จุฑาภรณ์ มาสันเทียะ, ดารุณี ทิพยกุลไพโรจน์","doi":"10.60027/iarj.2024.276464","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276464","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ทักษะการพูดเป็นทักษะที่สำคัญในการสื่อสาร เนื่องจากเป็นทักษะเบื้องต้นที่ใช้ในการสื่อสารและการดำเนินชีวิตประจำวันซึ่งมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งความวิตกกังวลในเรื่องการพูดนี้เป็นที่ยอมรับกันว่ามีผลต่อการแสดงออกต่อการพูดของผู้เรียน ความรู้สึกวิตกกังวลความประหม่าเป็นเรื่องที่พบเห็นโดยปกติในการเรียนภาษาที่สองหรือภาษาต่างประเทศ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวิชูทิศ สำนักงานเขตดินแดง สังกัดกรุงเทพมหานคร และ (2) เปรียบเทียบ ความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนวิชูทิศ สำนักงาน เขตดินแดง สังกัดกรุงเทพมหานคร ระหว่างนักเรียนที่เรียนในแผนการเรียนแบบปกติและแผนการเรียน แบบภาษาอังกฤษ\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2566 จำนวน 186 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม ความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษ แบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 30 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่, ร้อยละ, ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาค่าสถิติทดสอบทีสำหรับเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่เป็นอิสระจากกัน\u0000ผลการวิจัย:  (1) นักเรียนที่เรียนในแผนการเรียนแบบปกติ มีความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษ มีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับรุนแรง (2) นักเรียนที่เรียนแผนการเรียนแบบภาษาอังกฤษมีความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษ มีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับต่ำมาก (3) ความวิตกกังวลในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายโรงเรียนวิชูทิศ ระหว่างนักเรียนที่เรียนในแผนการเรียนแบบปกติและแผนการเรียนแบบภาษาอังกฤษโดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05  \u0000สรุปผล: เมื่อพูดภาษาอังกฤษ นักเรียนที่ปฏิบัติตามแผนการเรียนตามปกติจะมีระดับความวิตกกังวลสูงกว่านักเรียนที่ปฏิบัติตามแผนการเรียนภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ แสดงให้เห็นว่าการศึกษาภาษาเฉพาะทางมีประสิทธิภาพในการลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาษาของนักเรียนโรงเรียนวิชุทิศ","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 9","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141369211","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การสร้างสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทอง การสร้างสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทอง
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.276977
ศรีสุภัค เสมอวงษ์, พัชรินทร์ ส่วยสิน
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: โมชันกราฟิกเป็นการนำเอาเทคโนโลยี เสียงภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่ง ข้อความมารวมกัน ปรับแต่งด้วยกระบวนการคิดวิเคราะห์มาอย่างดี เพื่อตอบโจทย์ในจุดประสงค์ที่ต้องการสื่อสาร สามารถชักจูงนักเรียนมีความสนใจในตัวสื่อได้ดีกว่าสื่ออื่น ๆ ดังนั้นหากต้องการให้นักเรียนได้รับความรู้ความเข้าใจในเกี่ยวกับบทเรียนได้ดีจึงจำเป็นต้องสร้างสื่อโมชันกราฟิกเพื่อเผยแพร่ซึ่งจะทำให้เข้าใจได้ง่ายไม่เกิดความสับสนกับเนื้อหานอกจากนี้ยังช่วยให้สื่อมีความเข้าใจง่ายขึ้นเนื่องจากเป็นสื่อที่มีเทคนิคการนำเสนอที่น่าสนใจต่อนักเรียน ดังนั้นการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อสร้างสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทอง (2) เพื่อประเมินคุณภาพสื่อสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทอง และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจความพึงพอใจที่มีต่อสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทองระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนโรงเรียนเชนต์แอนโทนี จำนวน 30 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย ด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการศึกษา: (1) การสร้างสื่อโมชันกราฟิก โดยรวบรวมข้อมูลจากหนังสือและสื่อที่ให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการสร้างสื่อโมชันกราฟิก จากการศึกษาพบว่าสื่อโมชันกราฟิก ต้องทำให้ภาพเคลื่อนไหวดูแล้วเข้าใจง่ายในเวลารวดเร็วและชัดเจน สามารถสื่อให้ผู้ชมเข้าใจความหมายของข้อมูลทั้งหมดได้ และสามารถทำให้ผู้ชมได้รับข้อมูลจำนวนมากในเวลาอันสั้นได้ (2) ผลการประเมินคุณภาพการประเมินคุณภาพสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทองโดยภาพรวม มีผลประเมินอยู่ในระดับมาก (3) ความพึงพอใจที่มีต่อสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทอง โดยภาพรวม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุดสรุปผล: ผลการศึกษาพบว่าสื่อกราฟิกเคลื่อนไหวควรเน้นที่ความเร็วและความชัดเจนในการทำความเข้าใจ เพื่อถ่ายทอดข้อมูลจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาอันสั้น นอกจากนี้ สื่อโมชั่นกราฟิกของนิราศภูเขาทองยังได้รับคะแนนสูงอย่างต่อเนื่องในด้านการประเมินและความพึงพอใจ ซึ่งยืนยันทั้งความสามารถและความพึงพอใจของผู้ชม
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:โมชันกราฟิกเป็นการนำเอาเทคนโลยี เสียงภาพเคลือนไหว ภาพนิ่ง ข้อความารวมกัน ปรับแต่งด้วยกระบวนการคิดวิเคราะห์มาอย่างดีเพื่อตอบโจทย์ในจุดประสงค์ที่ต้องการสือสาร สามารถชักจูงนักเรียนมีความสนใจในตัวสื่อไดด้ีกว่าสือื่น ๆดังนั้นหากต้องการให้นักเรียนได้รับความรู้ความเข้าใจในเกี่ยวกับบทเรียนได้ดีจึงจำเป็นต้องสร้างสื่อโมชันกราฟิกเพื่อเผยแพร่ซึ่งจะทำให้เข้าใจได้ง่ายไม่เกิดความสับสนกับเนื้อหานอกจากนี้ยังช่วยให้สื่อมีความเข้าใจง่ายขึ้นเนื่องจากเป็นสื่อที่มีเทคนิคการนำเสนอที่น่าสนใจต่อนักเรียน(1) เพื่อสร้างสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูขเาทอง (2) เพื่อประเมินคุณภาพสือสื่อโมชันกราฟิกเรือง นิราศภูเขาทอง และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจความพึงพใจี่ีต่อสือโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทองระเบียบวิธีากรวิจัย:กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนโรงเรียนเชนต์แอนโทนี จำนวน 30 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มอย่าง่าย ด้วยิวธีการจับฉลากเครืองมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการศึกษา:(1) การสร้างสื่อโมชันกราฟิก โดยรวบรวมข้อมูลจากหนังสือและสื่อที่ให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการสร้างสื่อโมชันกราฟิก จาการศึกษาพบว่าสือโมชันกราฟิกต้องทำให้ภาพเเคลอืนไหวดูแล้วเข้าใจง่ายในเวลารวดเร็วและชัดเจน สามารถสือให้ผู้ชมเข้าใจควาหมายของข้อมูลทั้งหมดได้(2) เE1C↩ลการประเมินคุณภาพการประเมินคุณภาพสือโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทองโดยภาพรวมมีผลประเมินอยู่ในระดับมาก (3) ความพึงพอใจที่มีต่อสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทอง โดยภาพรวม มีความพึงอใจอยู่ในระดับมาที่สุดสรปผล:ผลการรศึกษาพบว่าสือกราฟกเคลือนไหควรเน้นที่ความเร็วและความชัดเจนในการทำความเพือถ่ายทดอขอมูลจำนวนมากได้อย่างมีรปะสิทธิภาพในระยะเวลาอันสันนอกจากนี้ สื่อโมชั่นกราฟิกของนิราศภูเขาทองยังได้รับคะแนนสูงอย่างต่อเนื่องในด้านการประเมินแลคะวามพึงพอใจ ซอ่งยืนยันทั้งความสมารถและความพึงพอใจของผชู้ม
{"title":"การสร้างสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทอง","authors":"ศรีสุภัค เสมอวงษ์, พัชรินทร์ ส่วยสิน","doi":"10.60027/iarj.2024.276977","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276977","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: โมชันกราฟิกเป็นการนำเอาเทคโนโลยี เสียงภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่ง ข้อความมารวมกัน ปรับแต่งด้วยกระบวนการคิดวิเคราะห์มาอย่างดี เพื่อตอบโจทย์ในจุดประสงค์ที่ต้องการสื่อสาร สามารถชักจูงนักเรียนมีความสนใจในตัวสื่อได้ดีกว่าสื่ออื่น ๆ ดังนั้นหากต้องการให้นักเรียนได้รับความรู้ความเข้าใจในเกี่ยวกับบทเรียนได้ดีจึงจำเป็นต้องสร้างสื่อโมชันกราฟิกเพื่อเผยแพร่ซึ่งจะทำให้เข้าใจได้ง่ายไม่เกิดความสับสนกับเนื้อหานอกจากนี้ยังช่วยให้สื่อมีความเข้าใจง่ายขึ้นเนื่องจากเป็นสื่อที่มีเทคนิคการนำเสนอที่น่าสนใจต่อนักเรียน ดังนั้นการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อสร้างสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทอง (2) เพื่อประเมินคุณภาพสื่อสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทอง และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจความพึงพอใจที่มีต่อสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทอง\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนโรงเรียนเชนต์แอนโทนี จำนวน 30 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย ด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน\u0000ผลการศึกษา: (1) การสร้างสื่อโมชันกราฟิก โดยรวบรวมข้อมูลจากหนังสือและสื่อที่ให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการสร้างสื่อโมชันกราฟิก จากการศึกษาพบว่าสื่อโมชันกราฟิก ต้องทำให้ภาพเคลื่อนไหวดูแล้วเข้าใจง่ายในเวลารวดเร็วและชัดเจน สามารถสื่อให้ผู้ชมเข้าใจความหมายของข้อมูลทั้งหมดได้ และสามารถทำให้ผู้ชมได้รับข้อมูลจำนวนมากในเวลาอันสั้นได้ (2) ผลการประเมินคุณภาพการประเมินคุณภาพสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทองโดยภาพรวม มีผลประเมินอยู่ในระดับมาก (3) ความพึงพอใจที่มีต่อสื่อโมชันกราฟิก เรื่อง นิราศภูเขาทอง โดยภาพรวม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด\u0000สรุปผล: ผลการศึกษาพบว่าสื่อกราฟิกเคลื่อนไหวควรเน้นที่ความเร็วและความชัดเจนในการทำความเข้าใจ เพื่อถ่ายทอดข้อมูลจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาอันสั้น นอกจากนี้ สื่อโมชั่นกราฟิกของนิราศภูเขาทองยังได้รับคะแนนสูงอย่างต่อเนื่องในด้านการประเมินและความพึงพอใจ ซึ่งยืนยันทั้งความสามารถและความพึงพอใจของผู้ชม","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 23","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141369998","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
ผลการพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงด้วยหลัก 4 อ (ยา 8 ขนาน) ตำบลด่านขุนทด อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ผลการพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงด้วยหลัก 4 อ (ยา 8 ขนาน) ตำบลด่านขุนทด อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.277939
พวงเพชร ราษีสวย, ไพฑูรย์ วงศ์เวชวินิต
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: โรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตแบบทวีคูณกำลังแพร่ระบาดให้กับคนไทยในปัจจุบัน และมีแนวโน้มแย่ลงเรื่อย ๆ อันเป็นผลมาจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคมเมืองร่วมสมัย โดยเฉพาะการบริโภคอาหารรสเค็ม น้ำตาล และอาหารมันเยิ้มที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่ตามมา เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ ตาบอดจากโรคเบาหวาน และไตวายเรื้อรัง การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงด้วยหลัก 4อ (ยา 8 ขนาน)ตำบลด่านขุนทด อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมาระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการจัดโปรแกรมรูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเสี่ยง โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงด้วยหลัก 4 อ (ยา 8 ขนาน) (One Group Pretest-Posttest Design) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง เป็นโปรแกรมพัฒนาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในการป้องกันโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นโดยใช้แนวคิดแบบจำลอง Precede-Procede Model ใช้เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเป็นประชากรกลุ่มเสี่ยงด้วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป แบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 60 คน คัดเลือก ตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) วิเคราะห์การเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังโปรแกรม ด้วยโดยใช้สถิติ Paired t-testผลการวิจัย: ผลการศึกษา พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ การรับรู้และพฤติกรรม เกี่ยวกับโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง  อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 และมีภาวะความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 หลังเข้าร่วมกระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่ม เป้าหมายมีภาวะความดันโลหิตสูง ลดลง ร้อยละ 50 และระดับน้ำตาลในเลือดสะสมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 80สรุปผล: ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปพัฒนาใช้ประโยชน์ในการดูแลเพื่อป้องกันการเกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และสร้างเครือข่ายในการนำโปรแกรมไปใช้ในสถานบริการทุกระดับของจังหวัดนครราชสีมา เพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ของจังหวัดนครราชสีมา โดยใช้กระบวนการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการจัดบริการเชิงรุกให้มีคุณภาพต่อไป
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:โรคที่เกิดจาการใช้ชีวิตแบบทวีคูณกำลังแพร่ระบาดให้กับคนไทยในปัจจจุบัน และมีแนวโน้มแย่ลงเรื่อย ๆ อันเป็นผลมาจากวิถีชีวิตที่เลปี่ยนแปลงไปของสังคมเมออืงร่วมสมัยโดยเฉพาะการบริโภคอาหารสเคอม น้ำตาหารมันเยิ้มที่เพิ่มากขึ้น ทำให้เกิดการเจ็บปว่ยที่ตามมา เช่นโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ ตาบอดจากโรคเบาหวาน และไตวายเรื้อรัง การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงด้วยหลัก4อ (ยา 8 ขนาน)ตำบลด่านขุนทด อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมาระเบียบวิธีการวิจัย:การวัยครัยเชิงการวจัยเชิงกึ่งทดลองแบกลุ่มเดียวัยเชิงการวจัยเชิงกึ่งทดลองแบกลุ่มเสียงแบารวจัยครัยเชิงการวจัย 4 อ (ยา 8 ขนาน) (One Group Pretest-Posttest Design) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง เป็นโปรแกรมพัฒนาการปรับเปลี่ยนพฤติกรมสุขภาพในการป้องกันโรเบาหวานและโรความดันโหิตสูง ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นดโยใช้แนวคิดแบจำอลง Precede-Procede Model เE43↩ช้เครื่องมอืการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างในการวจัยเป็นประชากรกลุ่มเสียงด้วยโรคเบาวหานและความดันโหลิตสูง ที่มีอายุ35 ปีขอยนไป แบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 60 คน คัดเลือก ตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) วิเคราะห์การเปรียบเทียบคะแนนเฉหางโปรแกรม ด้วยโดยใช้สถิติ Paired t-test ผลการวิจัย:ผลากรศึกษา พบว่า ค่าเลี่ยคะแนนความรู้ การรับรู้และพฤติกรรม เกี่ยวกับโรคเบาหวาน และโรคคความดัน เมษาน เมษาน ทดลองสูงกว่าก่อน การทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 เด็กเด็กมียวะความดันโหาติและระดับน้ำตาลในเลือดลดง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระัดบ .05 มตังเข้าร่วมกระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรมกลุ่ม เป้ารมายมีภาวะความดันโลหิตสูง 50 แลระดันบ้ำตาลในเลือดสะสมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 80สรุปผล:ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปพัฒนาใช้ประโยชน์ในการดูแลเพื่อป้องกันการเกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และสร้างเครือข่ายในการนำโปรแกรมไปใช้ในสถานบริการทุกระดับของจังหวัดนครราชสีมาเพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดโรคเบาหวานและความดันโหลิตสูง ของจังหวัดนคราชสีมา โดยใช้กระบวนการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการจัดบริการเชิงรุกให้มีคุณภาพต่อไป
{"title":"ผลการพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงด้วยหลัก 4 อ (ยา 8 ขนาน) ตำบลด่านขุนทด อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา","authors":"พวงเพชร ราษีสวย, ไพฑูรย์ วงศ์เวชวินิต","doi":"10.60027/iarj.2024.277939","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.277939","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: โรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตแบบทวีคูณกำลังแพร่ระบาดให้กับคนไทยในปัจจุบัน และมีแนวโน้มแย่ลงเรื่อย ๆ อันเป็นผลมาจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคมเมืองร่วมสมัย โดยเฉพาะการบริโภคอาหารรสเค็ม น้ำตาล และอาหารมันเยิ้มที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่ตามมา เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ ตาบอดจากโรคเบาหวาน และไตวายเรื้อรัง การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงด้วยหลัก 4อ (ยา 8 ขนาน)ตำบลด่านขุนทด อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการจัดโปรแกรมรูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเสี่ยง โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงด้วยหลัก 4 อ (ยา 8 ขนาน) (One Group Pretest-Posttest Design) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง เป็นโปรแกรมพัฒนาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในการป้องกันโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นโดยใช้แนวคิดแบบจำลอง Precede-Procede Model ใช้เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเป็นประชากรกลุ่มเสี่ยงด้วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป แบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 60 คน คัดเลือก ตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) วิเคราะห์การเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังโปรแกรม ด้วยโดยใช้สถิติ Paired t-test\u0000ผลการวิจัย: ผลการศึกษา พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ การรับรู้และพฤติกรรม เกี่ยวกับโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง  อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 และมีภาวะความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 หลังเข้าร่วมกระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่ม เป้าหมายมีภาวะความดันโลหิตสูง ลดลง ร้อยละ 50 และระดับน้ำตาลในเลือดสะสมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 80\u0000สรุปผล: ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปพัฒนาใช้ประโยชน์ในการดูแลเพื่อป้องกันการเกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และสร้างเครือข่ายในการนำโปรแกรมไปใช้ในสถานบริการทุกระดับของจังหวัดนครราชสีมา เพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ของจังหวัดนครราชสีมา โดยใช้กระบวนการการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการจัดบริการเชิงรุกให้มีคุณภาพต่อไป","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 3","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141370408","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษากลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1 ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษากลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.276353
ไอลดา อัครภูริสาธร, นิษรา พรสุริวงษ์, อมรรัตน์ ประวัติรุ่งเรื่อง
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การบริหารจัดการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผล ผู้บริหารสถานศึกษา จะต้องเป็นผู้บริหารยุคใหม่ เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการบริหาร และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างมืออาชีพ การบริหารสถานศึกษาในยุคปัจจุบัน มีองค์ประกอบหลายอย่างที่จะช่วยให้องค์กรเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารของสถานศึกษา กลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง (2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษา กลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง (3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลขอสถานศึกษา กลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง และ (4) เพื่อศึกษาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยองระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 140 คน โดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิและสุ่มแบบง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์สถิติการถดถอยพหุคูณ แบบ Stepwiseผลการวิจัย: (1) ปัจจัยการบริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก (2) ประสิทธิผลของสถานศึกษาโดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก (3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษาภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวก อยู่ในระดับสูงมาก (rxy = .951) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (4) ตัวแปรพยากรณ์ที่ดีของประสิทธิผลของสถานศึกษาได้แก่ ลักษณะของสภาพแวดล้อม ลักษณะบุคลากร และ ลักษณะขององค์การ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้ง 3 ปัจจัยดังกล่าวได้ร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษา ได้ร้อยละ 90.70 ซึ่งสามารถเขียนสมการพยากรณ์ ได้ดังนี้สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบY = .118 + .417X1 +.288X4 +263X3สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐานZ= .405X1 +.306X4 + .273X3สรุปผล: ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญระหว่างลักษณะการบริหารงานของสถาบันการศึกษาและประสิทธิผลโดยรวม ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างมากและรับรู้ในแง่ดี นอกจากนี้ คุณลักษณะขององค์กร มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม ยังปรากฏเป็นตัวทำนายที่สำคัญ ซึ่งรวมกันแล้วคิดเป็น 90.70% ของประสิทธิผลของสถาบันการศึกษา
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:การบริหารจัดการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผล ผู้บริหารสถานศึกษา จะต้องเป็นผู้บริหารยุคใหม่ เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการบริหารและปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิขดึ้นอย่างมือาชีพ การบริหารสถานศึกษาในยุคปจุบันมีองค์ประกอบหายอยางที่จะช่วยให้องค์กรเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัจัยการบริหารของสถานศึกษากลุ่มเาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง (2) เพื่อศึกษาประสิทธิผรขงอสถานศึกษา กลุ่มเาะแก้วสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง (3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ปจัยจัยการบริหารับประสิทธิผลอสถานศึษากลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง และ (4) เพื่อศึกษาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยองระเบียบวิธีการวิจัย:กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 140 คน โดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิและสุ่มแบบง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามสถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์หสมัพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราหะ์สถิติการถดถอยพหุคูณ แบบ Stepwiseผลการวิจัย:(1) ปัจัยการบริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมา (2) ประสิทธิผลของสถานศึกษาโดยภาพรวมมีความคิเห็นอยู่ในระดับมา(3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจัยการบริหารับประสิทธิผลของสถานศึกษาภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวก อยู่ในระดับูสงมาก (rxy = .951) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (4) ตัวแปรพยากรณ์ที่ดีของประสิทธิผลของสถานศึกษาได้แก่ ลักษณะของสภาพแวดล้อม ลักษณะบุคลากร และ ลักษณะขององค์การ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้ง 3 ปัจัยดังกลาวได้่รวมกันพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษา ได้รอยละ 90.70 สามารรถเขียนสมการพยากรณ์ ได้ดังนียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนดิบy = .118 + .417x1 +.288x4 +263x3สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐานz= .405X1 +.306X4 + .273X3สรุปผล:ผลการศึกษาแสดงให้เน็ว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญระหว่างลักษณะการรรรรรรรรรรรรรถาบันการศึกษาและประสิทธิผหดยรวมสัมพันธ์กันอย่างมากและรับรู้ในแง่ดี นอกจากนี้ คุณลักษณะขององค์กร มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม ยังปรากฏเป็นตัวทำนายที่สำคัญ ซิ่งรวมกันแล้วคิดเป็น 90.70% ขอปงระสิทธิผลของสถาบันการศึกษา
{"title":"ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษากลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1","authors":"ไอลดา อัครภูริสาธร, นิษรา พรสุริวงษ์, อมรรัตน์ ประวัติรุ่งเรื่อง","doi":"10.60027/iarj.2024.276353","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276353","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การบริหารจัดการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผล ผู้บริหารสถานศึกษา จะต้องเป็นผู้บริหารยุคใหม่ เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการบริหาร และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างมืออาชีพ การบริหารสถานศึกษาในยุคปัจจุบัน มีองค์ประกอบหลายอย่างที่จะช่วยให้องค์กรเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารของสถานศึกษา กลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง (2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษา กลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง (3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลขอสถานศึกษา กลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง และ (4) เพื่อศึกษาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเกาะแก้ว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 140 คน โดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิและสุ่มแบบง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์สถิติการถดถอยพหุคูณ แบบ Stepwise\u0000ผลการวิจัย: (1) ปัจจัยการบริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก (2) ประสิทธิผลของสถานศึกษาโดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก (3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษาภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวก อยู่ในระดับสูงมาก (rxy = .951) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (4) ตัวแปรพยากรณ์ที่ดีของประสิทธิผลของสถานศึกษาได้แก่ ลักษณะของสภาพแวดล้อม ลักษณะบุคลากร และ ลักษณะขององค์การ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้ง 3 ปัจจัยดังกล่าวได้ร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษา ได้ร้อยละ 90.70 ซึ่งสามารถเขียนสมการพยากรณ์ ได้ดังนี้\u0000สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ\u0000Y = .118 + .417X1 +.288X4 +263X3\u0000สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน\u0000Z= .405X1 +.306X4 + .273X3\u0000สรุปผล: ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญระหว่างลักษณะการบริหารงานของสถาบันการศึกษาและประสิทธิผลโดยรวม ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างมากและรับรู้ในแง่ดี นอกจากนี้ คุณลักษณะขององค์กร มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม ยังปรากฏเป็นตัวทำนายที่สำคัญ ซึ่งรวมกันแล้วคิดเป็น 90.70% ของประสิทธิผลของสถาบันการศึกษา","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 7","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141370613","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.275931
ศศิพงษ์ งามศรีขำ, ศิวพร เสาวคนธ์
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคที่หันมาใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับอาหารและส่วนประกอบของอาหารที่รับประทานเพื่อสุขภาพ อย่างไรก็ตามจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ. 2544 ข้อ 6 เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนโดยลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากอาหารและเพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนจากอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นการวิจัยนี้มีวัตถุประสงเพื่อ 1) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 2) เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันทีของต่างประเทศและประเทศไทย 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 4) เพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันทีระเบียบวิธีการวิจัย: งานวิจัยฉบับนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการวิจัยจากเอกสาร เก็บรวบรวมข้อมูลจาก วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ บทความ หนังสือ ตำราเอกสารทางวิชาการอื่นๆ รวมถึงข้อมูลสารสนเทศทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับหลักกฎหมายไทยเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาการควบคุมการผลิตอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมรับประทานทันทีให้มีประสิทธิภาพสูงสุดผลการศึกษา: 1) การปกป้องสิทธิของผู้บริโภคและกำหนดความรับผิดชอบของผู้ปรุงอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 2) กฎหมายประเทศไทยในการแสดงฉลากของอาหารพร้อมปรุงและอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ยังไม่มีความละเอียดในการบัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมผู้บริโภคอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 3) ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดให้เงื่อนไขไม่ใช้บังคับแก่อาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ซึ่งผู้ปรุงเป็นผู้จำหน่ายแก่ผู้บริโภคโดยตรงไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติอาหารของไทย กฎหมายที่เข้ามาควบคุมอาหารให้มีคุณภาพเป็นข้อยกเว้นที่ทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายซึ่งกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง 4) ควรมีการเพิ่มกฎหมายโดยแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และ แก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ. 2544 ดังนี้ (1) คำนิยามคำว่า “ผู้ปรุง” (2) การขอใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่ประกอบอาหาร (3) ฉลากอาหารสำหรับอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที (4) อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการอาหารและยา สามารถแก้ไขปัญหาการควบคุมการผลิตอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมรับประทานทันทีให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นประโยชน์การควบคุมอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันทีที่ประชาชนบริโภคต่อไปสรุปผล: การปรับเปลี่ยนกฎหมายปัจจุบันและประกาศกระทรวงถือเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากไม่มีกฎหมายที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการผลิตและการติดฉลากอาหารพร้อมบริโภค สิ่งนี้แสดงให้เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าการขายตรงถึงผู้บริโภคได้รับการยกเว้นจากกฎระเบียบปัจจุบัน ในท้ายที่สุด การปรับปรุงการคุ้มครองผู้บริโภคและการควบคุมการผลิตอาหารพร้อมรับประทานอย่างมีประสิทธิผลจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งสามารถทำได้โดยการเสริมสร้างคำจำกัดความ ข้อกำหนดในการอนุญาต มาตรฐานการติดฉลาก และการกำกับดูแลภายใต้พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. พ.ศ.2522 และกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ.2544
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคที่หันมาใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับอาหารและส่วนประกอบของอาหารที่รับประทานเพื่อสุขภาพ อย่างไรก็ตามจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ.2544 ข้อ 6 เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนโดยลดความเสี่ยงจาการเจ็บปว่ยอันเนื่องมจากอาหารและเพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนจากอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะดังนั้นารวิจัยนี้มีวัตถุประสงเพื่อ 1) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกบัการควบคุมการปรุงอหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโคทนที 2)เพือศึกษามาตราราทงกฎหมายที่เกี่ยวกับารปรุงาหาสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันทีขงต่างประเทศและประเท↪LoE28↩ไทย 3)เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 4) เพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันทีระเบียบวิธีการวิจัย:งานวิจัยฉบับนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการวิจัยจากเอกสาร เกบ็รวบรวมข้อมูลจาก วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์มตังสือ มตำราเอกสารทางวิชาการอื่นๆ รวมถึงข้อมตารสนเทศทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องตลอดจนศึษาเปรียบเทียบกฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง1) การปกป้องสิทธิของผู้บริโภคและกำหนดควารมับผิชอบของผู้ปรุงาหารเปน็สิ่งสำคัญต่อกฎหมายเกี่ยวกับารควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 2)กฎหมายประเทศไทยในการแสดงฉลากของอาหารพร้อมปรุงและอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ยังไม่มีความละเอียดในการบัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมผู้บริโภคอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 3)ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดให้เงื่อนไขไม่ใช้บังคับแก่อาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ซึ่งผู้ปรุงเป็นผู้จำหน่ายแก่ผู้บริโภคโดยตรงไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติอาหารของไทยกฎหมายที่เข้ามาควบคุมอาหารให้มีคุณภาพเป็นข้อยกเว้นที่ทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายซึ่งกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง 4) ควรมีการเพิ่มกฎหมายโดยแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 และแก้าขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ.2544 สังนี้ (1) คำนิยามคำว่า "ผู้ปรุง" (2) การขอใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่ประกอบอาหาร (3) ฉลากอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที (4) อำนาจหนาที่ของคณะกรรมการอหาและยาสามารถแกไขปัญหาการควบคุมการผลิตอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมรับประทนาทันทีให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นประโยชน์การควบคุมอหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภทคันที่ทประชาชนบริโภคต่อไปสรุปผล:การปรับเปลี่ยนกฎหมายปัจุบันและประกาศกระทรวงถือเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากไม่มีกฎหมายที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการผลิแตละการติดฉลากอหารพร้อมบริโภคสิ่งนี้แสดงให้เเท็จจริงที่่วาการขายตรงถึงผู้บริโภคได้รับการยกเว้นจากฎระเบียบปัจจุบัน ในท้ายที่สุดการปรับปรุงการคุ้มครองผู้บริโภคและการควบคุมการผลิตอาหารพร้มรอรับประทานอย่างมีประสิทธิผจะเป็นประโยชน์่ตอสุขาพและความปอดภัยขงประชานมติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายน มติลายนศ.พ.ศ.2522 และกระทรวงสาธารณสุ ขฉบับที่ 237 พ.ศ.2544
{"title":"ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที","authors":"ศศิพงษ์ งามศรีขำ, ศิวพร เสาวคนธ์","doi":"10.60027/iarj.2024.275931","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275931","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคที่หันมาใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับอาหารและส่วนประกอบของอาหารที่รับประทานเพื่อสุขภาพ อย่างไรก็ตามจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ. 2544 ข้อ 6 เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนโดยลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากอาหารและเพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนจากอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นการวิจัยนี้มีวัตถุประสงเพื่อ 1) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 2) เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันทีของต่างประเทศและประเทศไทย 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 4) เพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: งานวิจัยฉบับนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการวิจัยจากเอกสาร เก็บรวบรวมข้อมูลจาก วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ บทความ หนังสือ ตำราเอกสารทางวิชาการอื่นๆ รวมถึงข้อมูลสารสนเทศทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับหลักกฎหมายไทยเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาการควบคุมการผลิตอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมรับประทานทันทีให้มีประสิทธิภาพสูงสุด\u0000ผลการศึกษา: 1) การปกป้องสิทธิของผู้บริโภคและกำหนดความรับผิดชอบของผู้ปรุงอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการปรุงอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 2) กฎหมายประเทศไทยในการแสดงฉลากของอาหารพร้อมปรุงและอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ยังไม่มีความละเอียดในการบัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมผู้บริโภคอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที 3) ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดให้เงื่อนไขไม่ใช้บังคับแก่อาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที ซึ่งผู้ปรุงเป็นผู้จำหน่ายแก่ผู้บริโภคโดยตรงไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติอาหารของไทย กฎหมายที่เข้ามาควบคุมอาหารให้มีคุณภาพเป็นข้อยกเว้นที่ทำให้เกิดช่องว่างทางกฎหมายซึ่งกระทบต่อประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง 4) ควรมีการเพิ่มกฎหมายโดยแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และ แก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ. 2544 ดังนี้ (1) คำนิยามคำว่า “ผู้ปรุง” (2) การขอใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่ประกอบอาหาร (3) ฉลากอาหารสำหรับอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันที (4) อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการอาหารและยา สามารถแก้ไขปัญหาการควบคุมการผลิตอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมรับประทานทันทีให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นประโยชน์การควบคุมอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมบริโภคทันทีที่ประชาชนบริโภคต่อไป\u0000สรุปผล: การปรับเปลี่ยนกฎหมายปัจจุบันและประกาศกระทรวงถือเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากไม่มีกฎหมายที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการผลิตและการติดฉลากอาหารพร้อมบริโภค สิ่งนี้แสดงให้เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าการขายตรงถึงผู้บริโภคได้รับการยกเว้นจากกฎระเบียบปัจจุบัน ในท้ายที่สุด การปรับปรุงการคุ้มครองผู้บริโภคและการควบคุมการผลิตอาหารพร้อมรับประทานอย่างมีประสิทธิผลจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งสามารถทำได้โดยการเสริมสร้างคำจำกัดความ ข้อกำหนดในการอนุญาต มาตรฐานการติดฉลาก และการกำกับดูแลภายใต้พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. พ.ศ.2522 และกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 237 พ.ศ.2544","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 9","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141369777","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.273887
สวภัทร หงษ์โง่น, อัจฉรา จินวงษ์, ปิยพร แผ้วชำนาญ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การให้ความรู้ต่อกลุ่มเป้าหมาย ด้วยกลไก และวิธีการต่าง ๆ เช่น การให้ความรู้เชิงวิชาการ การสะท้อนให้เห็นผลที่เกิดขึ้นจากความเสี่ยง อันตรายต่อสุขภาพ การจัดกิจกรรมกลุ่มส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายมีองค์ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้เกิดระดับการปฏิบัติที่ดีขึ้นตามลำดับ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการดำเนินงานเฝ้าระวังและการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านพัฒนาและประเมินประสิทธิผลการพัฒนารูปแบบการดำเนินงาน เฝ้าระวัง และป้องกัน โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีระเบียบวิธีการวิจัย: ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ (1) บุคลากรสาธารณสุขในเทศบาลตำบลบ้านตาด ได้แก่ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข และนักวิชาการสาธารณสุข รวมจำนวน 2 คน (2) บุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก จำนวน 5 คน (3) ผู้นำระดับชุมชน ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน 8 หมู่บ้าน รวมจำนวน 8 คน (4) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ทั้ง 8 หมู่บ้าน จำนวน 98 คน เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพผลการวิจัย: รูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวังและการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนจำเป็นต้องมีการสร้างความเข้าใจให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขในการดำเนินงานและซักซ้อมให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งมีขั้นตอนประกอบไปด้วย (1) การดำเนินงานเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุข การทำหน้าที่เป็นด่านหน้าในการคัดกรอง หรือรณรงค์เคาะประตูบ้านควรมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคและการป้องกันโรคโควิด-19 เมื่อมีผู้ป่วยเกิดขึ้นในชุมชน (2) การสนับสนุนการเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุข จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรให้การสนับสนุนในเรื่องของงบประมาณ ในการเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชนและเงินสนับสนุนในรูปแบบของโครงการ ให้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขเพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นขวัญกำลังใจแก่ อาสาสมัครสาธารณสุขผู้ปฏิบัติงาน (3) การเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชน ของ อสม. การปฏิบัติงานในการเฝ้าระวังและป้องกันโรคโควิด-19 อาสาสมัครสาธารณสุขเป็นกลุ่มอาสาสมัครภาคประชาชน จำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาความรู้ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้เรื่องการป้องกันโรค การติดเชื้อ ระยะติดต่อ รวมไปถึงการรักษาเบื้องต้นของโรคโควิด–19 เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่คนในชุมชน และยังสร้างความมั่นใจในตนเองของ อาสาสมัครสาธารณสุข ต่อไป         สรุปผล: ผลการวิจัยนี้ให้ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมายโดยใช้กลไกและวิธีการต่างๆ เช่น การให้ความรู้ทางวิชาการ สะท้อนผลที่ตามมาของความเสี่ยง อันตรายต่อสุขภาพ การจัดกิจกรรมกลุ่มส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายได้รับความรู้มากขึ้น และส่งผลให้มีการปฏิบัติที่ดีขึ้นตามลำดับ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:การให้ความรู้ต่อกลุ่มเป้าหมาย ด้วยกลไก และวิธีการต่าง เช่น การให้ความรู้เชิงวิชาการ การสะท้อนให้เห็นผลที่เกดิขึนจ้ากความเสี่ยง อันตรายต่อสุขภาพการจัดกิจกรรมกลุ่มส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายมีองค์ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้เกิดระดับการปฏิบัติที่ดีขึ้นตามลำดับ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดำเนินงานเฝ้าระวังและการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านพัฒนาและประเมินประสิทธิผลการพัฒนารูปแบบการดำเนินงาน เฝ้าระวังและป้องกัน โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีระเบียบวิธีการวิจัย:ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ (1) บุคลากรสาธารณสุขในเทศบาลตำบลบ้านตาด ได้แก่ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและนักวิชาการสาธารณสุ ขรวมจำนวน 2 คน (2) บุคลากรสาธารณสุ ขในโรงยพาบารส่งเสริมสุ ขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก จำนวน 5 คน (3) ผู้นำระดับุชมชน ได้แก่ผู้ใหญ่บ้าน 8 หมู่บ้าน รวมจำนวน 8 คน (4) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตรับผิดชบโรงพยาบาลส่งเสิมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึกอำเออเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ทั้ง 8 หมู่บ้าน จำนวน 98 คน เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพผลการวิจัย:รูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวังและการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนจำเป็นต้องมีการสร้างความเข้าใจให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขในการดำเนินงานและซักซ้อมให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างเป็นรูปธรรมใในชปฏิบตินชปฏิบตินชปฏินชปฏิบตินชปฏินชป19 ใชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุข การทำหน้าที่เป็นด่านหน้าในการคัดกรอง หรอืรณรงค์เคาะประตูบ้านควรมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคและการป้องกันโรคโควิด-19 เมื่อมีผู้่ปวยเกิดขึ้นในชุมชน (2) การสันบสุนการเฝ้าระวัง และปอ้งกันโรคคอวิด-19 ในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุข จากงอค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรให้ากรสนับสนุนในเรื่องของบประมาณ ในการเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโวิด-19 เE43↩นชุมชนและเงินสนับสนุนในรูปบบอขงโครงการ ให้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขเพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่และเป็นขวัญกำลังใจแก่ อาสาสมัครสาธารณสุขผู้ปฏิบัติงาน (3) การเพิ่มศักยภาพการดำเนินงาเนเฝ้าระวัง และปอ้งกันโรคโควิด-19 ในชุมชน ของ อสม.การปฏิบัติงานในการเฝ้าระวังและป้องกันโรคโควิด-19 สาสมัครสาธารณสุขเป็นกลุ่มอาสาสมัครภาคประชาชน จำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาความรู้ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้เรื่องการปองกันโรค การติดเชื้อ ระยะติดต่อรวมไปถึงการรักษาเบือยงต้นของโรคอควิด-19 เพือสร้างความนาเชอื่ถอให้แก่คนในชุมชน และยังสร้างความมั่นใจในตนเองของ อาสามครัสาธารณสุข ต่อไป สรุปผล:ผลการวิจัยนี้ให้ความรู้แก่ลุ่มเป้าหมายโดยใช้กลไกและวิธีการต่างๆ เช่น การให้ความรู้ทางวิชาการ สะท้อนผลที่ตามาของความเสี่ยงมตันตรายต่อสุขภาพ การจัดกิจกรรมกลุมส่งผลใหากลุ่มเป้าหมายได้รับความรู้มากขข้น และส่งผลใหม้ีการปฏิบัติที่ดีข้นารมตำดับ
{"title":"การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี","authors":"สวภัทร หงษ์โง่น, อัจฉรา จินวงษ์, ปิยพร แผ้วชำนาญ","doi":"10.60027/iarj.2024.273887","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.273887","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การให้ความรู้ต่อกลุ่มเป้าหมาย ด้วยกลไก และวิธีการต่าง ๆ เช่น การให้ความรู้เชิงวิชาการ การสะท้อนให้เห็นผลที่เกิดขึ้นจากความเสี่ยง อันตรายต่อสุขภาพ การจัดกิจกรรมกลุ่มส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายมีองค์ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้เกิดระดับการปฏิบัติที่ดีขึ้นตามลำดับ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการดำเนินงานเฝ้าระวังและการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านพัฒนาและประเมินประสิทธิผลการพัฒนารูปแบบการดำเนินงาน เฝ้าระวัง และป้องกัน โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ (1) บุคลากรสาธารณสุขในเทศบาลตำบลบ้านตาด ได้แก่ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข และนักวิชาการสาธารณสุข รวมจำนวน 2 คน (2) บุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก จำนวน 5 คน (3) ผู้นำระดับชุมชน ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน 8 หมู่บ้าน รวมจำนวน 8 คน (4) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนิคมทหารผ่านศึก อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ทั้ง 8 หมู่บ้าน จำนวน 98 คน เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ\u0000ผลการวิจัย: รูปแบบการดำเนินงานเฝ้าระวังและการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในเขตชุมชนจำเป็นต้องมีการสร้างความเข้าใจให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขในการดำเนินงานและซักซ้อมให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งมีขั้นตอนประกอบไปด้วย (1) การดำเนินงานเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุข การทำหน้าที่เป็นด่านหน้าในการคัดกรอง หรือรณรงค์เคาะประตูบ้านควรมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคและการป้องกันโรคโควิด-19 เมื่อมีผู้ป่วยเกิดขึ้นในชุมชน (2) การสนับสนุนการเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุข จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรให้การสนับสนุนในเรื่องของงบประมาณ ในการเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชนและเงินสนับสนุนในรูปแบบของโครงการ ให้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขเพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นขวัญกำลังใจแก่ อาสาสมัครสาธารณสุขผู้ปฏิบัติงาน (3) การเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานเฝ้าระวัง และป้องกันโรคโควิด-19 ในชุมชน ของ อสม. การปฏิบัติงานในการเฝ้าระวังและป้องกันโรคโควิด-19 อาสาสมัครสาธารณสุขเป็นกลุ่มอาสาสมัครภาคประชาชน จำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาความรู้ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้เรื่องการป้องกันโรค การติดเชื้อ ระยะติดต่อ รวมไปถึงการรักษาเบื้องต้นของโรคโควิด–19 เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่คนในชุมชน และยังสร้างความมั่นใจในตนเองของ อาสาสมัครสาธารณสุข ต่อไป         \u0000สรุปผล: ผลการวิจัยนี้ให้ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมายโดยใช้กลไกและวิธีการต่างๆ เช่น การให้ความรู้ทางวิชาการ สะท้อนผลที่ตามมาของความเสี่ยง อันตรายต่อสุขภาพ การจัดกิจกรรมกลุ่มส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายได้รับความรู้มากขึ้น และส่งผลให้มีการปฏิบัติที่ดีขึ้นตามลำดับ","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 9","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141368418","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
ความเป็นกลางของผู้มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง ศึกษากรณี คุณสมบัติกรณีอื่นของกฎกระทรวงที่ออกตามความมาตรา 13 (6) พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. 2539 กับการบังคับใช้กฎหมาย ความเป็นกลางของผู้มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง ศึกษากรณี คุณสมบัติกรณีอื่นของกฎกระทรวงที่ออกตามความมาตรา 13 (6) พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. 2539 กับการบังคับใช้กฎหมาย
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.276100
ธีระญา ปราบปราม
ภูมิหลังและวัถตุประสงค์: การดำเนินงานทางปกครองมีหลักเกณฑ์และขั้นตอนมากมายที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่เรียกว่าแบบในทางกฎหมายปกครอง  การดำเนินการก็ต้องกระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจที่กฎหมายกำหนดอำนาจไว้ให้และตั้งอยู่บนพื้นฐานหลักความเป็นกลาง ดังนั่นบทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นกลางของผู้มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง ศึกษากรณี คุณสมบัติกรณีอื่นของกฎกระทรวงระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยครั้งนี้ทำการวิเคราะห์กฎกระทรวงที่ออกตามความมาตรา 13 (6) พระราชบัญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. 2539 กับการบังคับใช้กฎหมาย โดยหลักความเป็นกลางในการพิจารณาทางปกครองกำหนดคุณสมบัติคู่กรณีไว้ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 13 ตามวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 และต่อมาได้มีการประกาศกฎกระทรวงตามความในมาตรา 13(6)ผลการวิจัย: กฎกระทรวงนั้นมีการควบคุมการพิจารณาทางปกครอง เพื่อป้องกันความไม่เป็นกลางในทางภาวะวิสัยหรือความไม่เป็นกลางโดยสภาพภายนอก  แต่เมื่อพิจารณาข้อความของกฎหมายที่ใช้คำว่า “เป็น”หริอ “เคยเป็น” อันไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน อาจส่งผลกับผู้พิจารณาทางปกครองที่เป็นคู่กรณีต้องผูกพันในฐานะดังกล่าวไปตลอดชีวิต หากผู้พิจารณาทางปกครองเคยมีความสัมพันธ์กับคู่กรณีในฐานะที่ “เป็น” หรือ “เคยเป็น”  เป็นการยากในการพิสูจน์จากคู่กรณีที่ถูกพิจารณาทางปกครองว่าสถานะ “เป็น” หรือ “เคยเป็น” มีหลักฐานใดที่นำสืบเพื่อเป็นข้ออ้างได้ เพื่อเป็นข้อคัดค้านการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา 14 วรรค 1 อีกทั้งกฎกระทรวงดังกล่าวยังมีการบังคับใช้กฎหมายในสถานะของคู่กรณีที่ไม่ได้ปรากฎชัดตามกฎหมายที่รับรองสถานะที่ปรากฎตามทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การที่ไม่ได้มีกฎหมายที่ตีตราทางทะเบียนที่รับรองสถานะไว้ทำให้ยากต่อการพิสูจน์เพื่อการคัดค้านอีกกรณีหนึ่ง จะเห็นได้ว่ากฎกระทรวงดังกล่าวมีลักษณะเป็นการเขียนในขอบเขตที่กว้าง จำกัดสิทธิ เสรีภาพของคู่กรณีตามรัฐธรรมนูญกำหนด ยากต่อการพิสูจน์สถานะ แม้ว่าจะเป็นการรัดกุมเพื่อป้องกันการพิจารณาทางปกครองที่ไม่เป็นกลาง แต่ก็เป็นข้อกังวลที่อาจมีการคัดค้านการพิจารณาทางปกครองมากขึ้น อันทำให้การพิจารณาทางปกครองล่าช้าไปโดยปราศจากเหตุอันสมควรสรุปผล: แม้ว่าวัตถุประสงค์ของกฎระเบียบเหล่านี้คือเพื่อป้องกันอคติ แต่ก็ทำให้เกิดความคลุมเครือโดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และขัดขวางกระบวนการตัดสินที่เป็นกลาง การเข้าถึงอย่างกว้างขวางทำให้เกิดความล่าช้าที่ไม่สมเหตุสมผลในการทบทวนของฝ่ายบริหาร โดยการจำกัดสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ และทำให้กระบวนการตรวจสอบยากขึ้น
ภูมิหลังและวัถตุประสงค์: การดำเนินารก็ต้องกระทำโดยเจ้าหน้าที่อขงรัฐผู้มีอำนาจที่กฎหมายกำหนาจไว้ให้และตั้งงอยู่บนพื้นฐานหัลกความเป็นกลางมตัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นกลางของผู้มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง ศึกษากรณี คุณสมบัติกรณีอืนขอ่งกฎกระทรวงระบียบวิธีการวจัย:การวิจัยครั้งนี้ทำการวิเคราะห์กฎกระทรวงที่อกตามความมาตรา 13 (6) พระราชบัญตัิวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ.2539 กับารบังคับใช้กฎหมาย โดยหลักความเป็นกลางในการพจิารณาทางปกครองกำหนดคุณสมบัติคู่กรณีไว้ต้องไม่ีลักษณะต้องห้ามตามตาร 13 ตามวิธีปฏิบัติราชการทางปกคอง พ.ศ.2539และต่อมาได้มีการประกาศกฎกระทรวงตามความในมาตรา 13(6)ผลการวิจัย:กฎกระทรวงนั้นมีการควบคุมการพจารณาทางปกครอง เพ่อป้องกันความไม่เป็นกลางในทางภาวะวิสัยหรือควมาไม่เป็นกลางโดยสภาพภายนอก แต่มเือ่พจิารณาข้อความของกฎหมายที่ใชคำวา"เป็น "หริอ "เคยเป็น" อันไม่ได้กำนหดระยะเเวลาที่ชัดเจน อาจส่งผลกับผู้พิจารณาทางปกครองที่เป็นคู่กรณีต้องผูกพันในฐานะดังกล่าวไปตลอดชีวิตตหากผู้พิจารณาทางปกครองเคยมีความสัมพันธ์กับคู่กรณีในฐานะที่ "เป็น" หรือ "เคยเป็น" เป็นการยากในการพิสูจน์จากคู่กรณีที่ถูพิจารณาทางปกครองว่าสถานะ"เป็น" เรือ "เคยเป็น" มีหลักฐานใดที่นำสืบเพือเป็นข้ออ้างได้ เพือเป็นข้อคัดค้านการพจิารณาทงาปกครองตามมาตรา 14 วรค 1อีกทั้งกฎกระทรวงดังกล่าวยังมีการบังคับใช้กฎหมายในสถานะของคู่กรณีที่ไมปรากฎชัดตากฎหมายที่รับรองสถานะที่ปรากฎตามทะเบียนอย่างถกูต้องตามกฎหมายการที่ฎหมายที่ตตีราทางทะเบียนที่รับรองสถานะไว้ทำให้ยากต่อการพิสูจน์เพื่อการคัดค้านอีกกรณีหนึ่ง จะเห็นได้ว่ากฎกระทรวงดังกล่าวมีลัษณะเป็นการเขียนในขอเบตที่กวงจำกัดสิทธิ เสรีภาพของคู่กรณีตามรัฐธรรมนูญกำหนด ยากต่อการพิสูจน์สถานะ แม้ว่าจะเป็นการรัดกุมเพื่อป้องกันการพิจารณาทางปกครองที่ไมเป็นกลางแม้ว่าวัตถุประสงค์ของกฎระเบียบเหล่านี้คือเพื่อป้องกันอคติ แต่ก็ทำให้เกิดความคลุมเครือโดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และขัดขวางกระบวนการตัดสินที่เป็นกลางถึงอย่างกว้างขวาทงำใหเกิดความล่าช้าที่ไมสมเหตุสมผลในการทบทนวของฝ่ายบรารจำกัดสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญและทำให้กระบวนการตรวจสบยากึน
{"title":"ความเป็นกลางของผู้มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง ศึกษากรณี คุณสมบัติกรณีอื่นของกฎกระทรวงที่ออกตามความมาตรา 13 (6) พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. 2539 กับการบังคับใช้กฎหมาย","authors":"ธีระญา ปราบปราม","doi":"10.60027/iarj.2024.276100","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276100","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัถตุประสงค์: การดำเนินงานทางปกครองมีหลักเกณฑ์และขั้นตอนมากมายที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่เรียกว่าแบบในทางกฎหมายปกครอง  การดำเนินการก็ต้องกระทำโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจที่กฎหมายกำหนดอำนาจไว้ให้และตั้งอยู่บนพื้นฐานหลักความเป็นกลาง ดังนั่นบทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นกลางของผู้มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง ศึกษากรณี คุณสมบัติกรณีอื่นของกฎกระทรวง\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยครั้งนี้ทำการวิเคราะห์กฎกระทรวงที่ออกตามความมาตรา 13 (6) พระราชบัญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองพ.ศ. 2539 กับการบังคับใช้กฎหมาย โดยหลักความเป็นกลางในการพิจารณาทางปกครองกำหนดคุณสมบัติคู่กรณีไว้ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 13 ตามวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 และต่อมาได้มีการประกาศกฎกระทรวงตามความในมาตรา 13(6)\u0000ผลการวิจัย: กฎกระทรวงนั้นมีการควบคุมการพิจารณาทางปกครอง เพื่อป้องกันความไม่เป็นกลางในทางภาวะวิสัยหรือความไม่เป็นกลางโดยสภาพภายนอก  แต่เมื่อพิจารณาข้อความของกฎหมายที่ใช้คำว่า “เป็น”หริอ “เคยเป็น” อันไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน อาจส่งผลกับผู้พิจารณาทางปกครองที่เป็นคู่กรณีต้องผูกพันในฐานะดังกล่าวไปตลอดชีวิต หากผู้พิจารณาทางปกครองเคยมีความสัมพันธ์กับคู่กรณีในฐานะที่ “เป็น” หรือ “เคยเป็น”  เป็นการยากในการพิสูจน์จากคู่กรณีที่ถูกพิจารณาทางปกครองว่าสถานะ “เป็น” หรือ “เคยเป็น” มีหลักฐานใดที่นำสืบเพื่อเป็นข้ออ้างได้ เพื่อเป็นข้อคัดค้านการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา 14 วรรค 1 อีกทั้งกฎกระทรวงดังกล่าวยังมีการบังคับใช้กฎหมายในสถานะของคู่กรณีที่ไม่ได้ปรากฎชัดตามกฎหมายที่รับรองสถานะที่ปรากฎตามทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การที่ไม่ได้มีกฎหมายที่ตีตราทางทะเบียนที่รับรองสถานะไว้ทำให้ยากต่อการพิสูจน์เพื่อการคัดค้านอีกกรณีหนึ่ง จะเห็นได้ว่ากฎกระทรวงดังกล่าวมีลักษณะเป็นการเขียนในขอบเขตที่กว้าง จำกัดสิทธิ เสรีภาพของคู่กรณีตามรัฐธรรมนูญกำหนด ยากต่อการพิสูจน์สถานะ แม้ว่าจะเป็นการรัดกุมเพื่อป้องกันการพิจารณาทางปกครองที่ไม่เป็นกลาง แต่ก็เป็นข้อกังวลที่อาจมีการคัดค้านการพิจารณาทางปกครองมากขึ้น อันทำให้การพิจารณาทางปกครองล่าช้าไปโดยปราศจากเหตุอันสมควร\u0000สรุปผล: แม้ว่าวัตถุประสงค์ของกฎระเบียบเหล่านี้คือเพื่อป้องกันอคติ แต่ก็ทำให้เกิดความคลุมเครือโดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และขัดขวางกระบวนการตัดสินที่เป็นกลาง การเข้าถึงอย่างกว้างขวางทำให้เกิดความล่าช้าที่ไม่สมเหตุสมผลในการทบทวนของฝ่ายบริหาร โดยการจำกัดสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ และทำให้กระบวนการตรวจสอบยากขึ้น","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 9","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141369378","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การจัดการความรู้ต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 การจัดการความรู้ต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5
Pub Date : 2024-06-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.276652
อชิรญา เวียงแก, สรัญณี อุเส็นยาง
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การพัฒนาองค์กรในทันกับยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี และกระแสโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งการพัฒนาองค์กรให้มีนวัตกรรมในองค์กรเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง และการจัดการความรู้ก็เป็นอีกประการที่ทุกองค์ควรปรับให้มี เนื่องจากเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรนวัตกรรม ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 เป็นองค์กรที่กำหนดกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ เพื่อให้องค์กรดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยงานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการจัดการความรู้ของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาค เขต 5 2) เพื่อศึกษาระดับการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปา ส่วนภูมิภาคเขต 5 และ 3) เพื่อศึกษาการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปา ส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5ระเบียบวิธีการวิจัย: ประชากรที่ทำการวิจัยครั้งนี้ เป็นพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ระดับปฏิบัติการ ระดับ 1-7 ในสังกัดการประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 จำนวนทั้งสิ้น 415 คน โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวมรวมข้อมูล แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน อายุการทำงาน และสายงานที่ปฏิบัติ/สังกัดงาน ส่วนที่ 2 สอบถามเกี่ยวกับระดับความคิดเห็นด้านการจัดการความรู้ และส่วนที่ 3 สอบถามเกี่ยวกับการเป็นองค์กรนวัตกรรมขององค์กร ผู้วิจัยทำการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบสอบถามผ่านระบบออนไลน์ (Online survey) ซึ่งใช้การสร้างแบบสอบถามใส่ Google form ควบคู่ไปกับการส่งแบบสอบถามช่องทางแอพพลิเคชั่นไลน์กลุ่มหัวหน้างานอำนวยการ การประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัดการประปา ส่วนภูมิภาคเขต 5 ทุกสาขา จำนวน 20 สาขา จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 201 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยโปรแกรมสำเร็จรูป ทางคอมพิวเตอร์ผลการวิจัย: ผลการศึกษาพบว่า (1) ระดับการจัดการความรู้ของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านการสร้างความรู้ ด้านการแสวงหาความรู้ ด้านการจัดเก็บและการสืบค้นความรู้ และด้านการเผยแพร่และประยุกต์ใช้ความรู้ ตามลำดับ (2) ระดับการเป็นองค์กรนวัตกรรมของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ และด้านนวัตกรรมกระบวนการ และ(3) การจัดการความรู้ส่งผลต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสามารถอธิบายการ แปรผันการเป็นองค์กรนวัตกรรมของพนักงาน ได้ร้อยละ 74.30สรุปผล: ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญที่โดดเด่น ในการจัดการความรู้ ซึ่งส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้นในด้านต่างๆ เช่น การบริการ กระบวนการ และผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างการจัดการความรู้และนวัตกรรมขององค์กรยังเน้นย้ำถึงหน้าที่สำคัญของการนำความรู้ไปใช้ในการส่งเสริมนวัตกรรมภายใต้กรอบของการประปาส่วนภูมิภาค
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:การพัฒนาองค์กรในทันกับยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีแปละกระแสิลายคุโลกาภิวัฒน์ฒฒฒฒฒฒฒฒฒฒฒฒฒฒเนื่องจากเป็็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในารพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรนวัตกรรม ซึ่งการประปาส่วนภูิมภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูิมภาคเขต 5 เป็นองค์กรที่กำหนดกลยุทธ์และวัสยทัศน์เพื่อให้องค์กรดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยงานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการจัดการความรู้อขงพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาค เตข 5 2)เพื่อศึกษาระดับารเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปา ส่วนภูมิภาคเต 5 และ 3)เพื่อศึกษาการจัดากรความรู้ที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปา ส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5ระเบียบวิธีการวิจัย:ประชากรที่ทำการวิจัยครั้งนี้ เป็นพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ระดับปฏิบัติการ ระดับ 1-7 เE43↩นสังกัดการประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 จำนวนทั้งสิ้น 415 คน โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวมรวมข้อมูล3 ส่วน ส่วนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายดไ้เฉลี่ยต่อเดือนอายุการทำงาน และสายงานที่ปฏิบัติ/สังกัดงาน ส่วนที่ 2 สอบถามเกี่ยวกับระดับความคิดเห็จัดการความรู้และส่วนที่ 3 สอบถามเกี่ยวับการเป็นองค์กรนวักตรมขององค์กร ผู้วิจัยทำการเกบ็ข้อมูลจากลุมตัวอย่างโดยใช้แบบสอบถามผ่านระบบอนไลน์ (Online survey) ซึ่งใช้การสร้างแบบสอบถามใส่ Google formควบคู่ไปกับการส่งแบสอบถามช่องทางแอพลิเคชั่นไลน์กลุมหัวหน้างานอำนวยการ การประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัดารประา ส่วนภูมิภาคเต5 ทุกสาขา จำนวน 20 สาขา จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 201 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยโปรแกรมสำเร็จรูป ทางคอมพิวเตอร์ผลการวิจัย:ผลากรศึษาพบว่า (1) ระดับารจัดการความรู้ของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านการสร้างความรู้าใช้ความรู้ตามลำดับ (2) ระดับการเป็นองค์กรนวัตกรมของพนักงงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขาในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 ภาพรวมยอู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ และด้านวัตกรรมกระบวนการ และ(3)การจัดการความรู้ส่งผลต่อการเป็นองค์กรนวตักรมของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสามารถอธิบายการแปรผันการเป็นงอค์กรนวัตกรมของพนักงาน ได้ร้อยละ 74.30สรุปผล:ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญที่โดดเด่น ในการจัดการความรู้ ซึ่งส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้นในด้านต่างๆ เช่น การบริการ กระบวนการและผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างการจัดการความรู้และนวัตกรรมขององค์กรยังเน้นย้ำถึงหน้าที่สำคัญของการนำความรู้ไปใช้ในการส่งเสริมนวัตกรรมภายใต้กรอบของการประปาส่วนภูมิภาค
{"title":"การจัดการความรู้ต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5","authors":"อชิรญา เวียงแก, สรัญณี อุเส็นยาง","doi":"10.60027/iarj.2024.276652","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276652","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การพัฒนาองค์กรในทันกับยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี และกระแสโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งการพัฒนาองค์กรให้มีนวัตกรรมในองค์กรเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง และการจัดการความรู้ก็เป็นอีกประการที่ทุกองค์ควรปรับให้มี เนื่องจากเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรนวัตกรรม ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 เป็นองค์กรที่กำหนดกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ เพื่อให้องค์กรดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยงานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการจัดการความรู้ของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาค เขต 5 2) เพื่อศึกษาระดับการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปา ส่วนภูมิภาคเขต 5 และ 3) เพื่อศึกษาการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของการประปา ส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: ประชากรที่ทำการวิจัยครั้งนี้ เป็นพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ระดับปฏิบัติการ ระดับ 1-7 ในสังกัดการประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 จำนวนทั้งสิ้น 415 คน โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวมรวมข้อมูล แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไป ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน อายุการทำงาน และสายงานที่ปฏิบัติ/สังกัดงาน ส่วนที่ 2 สอบถามเกี่ยวกับระดับความคิดเห็นด้านการจัดการความรู้ และส่วนที่ 3 สอบถามเกี่ยวกับการเป็นองค์กรนวัตกรรมขององค์กร ผู้วิจัยทำการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบสอบถามผ่านระบบออนไลน์ (Online survey) ซึ่งใช้การสร้างแบบสอบถามใส่ Google form ควบคู่ไปกับการส่งแบบสอบถามช่องทางแอพพลิเคชั่นไลน์กลุ่มหัวหน้างานอำนวยการ การประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัดการประปา ส่วนภูมิภาคเขต 5 ทุกสาขา จำนวน 20 สาขา จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 201 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยโปรแกรมสำเร็จรูป ทางคอมพิวเตอร์\u0000ผลการวิจัย: ผลการศึกษาพบว่า (1) ระดับการจัดการความรู้ของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านการสร้างความรู้ ด้านการแสวงหาความรู้ ด้านการจัดเก็บและการสืบค้นความรู้ และด้านการเผยแพร่และประยุกต์ใช้ความรู้ ตามลำดับ (2) ระดับการเป็นองค์กรนวัตกรรมของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการ และด้านนวัตกรรมกระบวนการ และ(3) การจัดการความรู้ส่งผลต่อการเป็นองค์กรนวัตกรรมของพนักงานการประปาส่วนภูมิภาคสาขา ในสังกัด การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยสามารถอธิบายการ แปรผันการเป็นองค์กรนวัตกรรมของพนักงาน ได้ร้อยละ 74.30\u0000สรุปผล: ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่การประปาส่วนภูมิภาคเขต 5 แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญที่โดดเด่น ในการจัดการความรู้ ซึ่งส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้นในด้านต่างๆ เช่น การบริการ กระบวนการ และผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างการจัดการความรู้และนวัตกรรมขององค์กรยังเน้นย้ำถึงหน้าที่สำคัญของการนำความรู้ไปใช้ในการส่งเสริมนวัตกรรมภายใต้กรอบของการประปาส่วนภูมิภาค","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 6","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141369031","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
期刊
Interdisciplinary Academic and Research Journal
全部 Acc. Chem. Res. ACS Applied Bio Materials ACS Appl. Electron. Mater. ACS Appl. Energy Mater. ACS Appl. Mater. Interfaces ACS Appl. Nano Mater. ACS Appl. Polym. Mater. ACS BIOMATER-SCI ENG ACS Catal. ACS Cent. Sci. ACS Chem. Biol. ACS Chemical Health & Safety ACS Chem. Neurosci. ACS Comb. Sci. ACS Earth Space Chem. ACS Energy Lett. ACS Infect. Dis. ACS Macro Lett. ACS Mater. Lett. ACS Med. Chem. Lett. ACS Nano ACS Omega ACS Photonics ACS Sens. ACS Sustainable Chem. Eng. ACS Synth. Biol. Anal. Chem. BIOCHEMISTRY-US Bioconjugate Chem. BIOMACROMOLECULES Chem. Res. Toxicol. Chem. Rev. Chem. Mater. CRYST GROWTH DES ENERG FUEL Environ. Sci. Technol. Environ. Sci. Technol. Lett. Eur. J. Inorg. Chem. IND ENG CHEM RES Inorg. Chem. J. Agric. Food. Chem. J. Chem. Eng. Data J. Chem. Educ. J. Chem. Inf. Model. J. Chem. Theory Comput. J. Med. Chem. J. Nat. Prod. J PROTEOME RES J. Am. Chem. Soc. LANGMUIR MACROMOLECULES Mol. Pharmaceutics Nano Lett. Org. Lett. ORG PROCESS RES DEV ORGANOMETALLICS J. Org. Chem. J. Phys. Chem. J. Phys. Chem. A J. Phys. Chem. B J. Phys. Chem. C J. Phys. Chem. Lett. Analyst Anal. Methods Biomater. Sci. Catal. Sci. Technol. Chem. Commun. Chem. Soc. Rev. CHEM EDUC RES PRACT CRYSTENGCOMM Dalton Trans. Energy Environ. Sci. ENVIRON SCI-NANO ENVIRON SCI-PROC IMP ENVIRON SCI-WAT RES Faraday Discuss. Food Funct. Green Chem. Inorg. Chem. Front. Integr. Biol. J. Anal. At. Spectrom. J. Mater. Chem. A J. Mater. Chem. B J. Mater. Chem. C Lab Chip Mater. Chem. Front. Mater. Horiz. MEDCHEMCOMM Metallomics Mol. Biosyst. Mol. Syst. Des. Eng. Nanoscale Nanoscale Horiz. Nat. Prod. Rep. New J. Chem. Org. Biomol. Chem. Org. Chem. Front. PHOTOCH PHOTOBIO SCI PCCP Polym. Chem.
×
引用
GB/T 7714-2015
复制
MLA
复制
APA
复制
导出至
BibTeX EndNote RefMan NoteFirst NoteExpress
×
0
微信
客服QQ
Book学术公众号 扫码关注我们
反馈
×
意见反馈
请填写您的意见或建议
请填写您的手机或邮箱
×
提示
您的信息不完整,为了账户安全,请先补充。
现在去补充
×
提示
您因"违规操作"
具体请查看互助需知
我知道了
×
提示
现在去查看 取消
×
提示
确定
Book学术官方微信
Book学术文献互助
Book学术文献互助群
群 号:481959085
Book学术
文献互助 智能选刊 最新文献 互助须知 联系我们:info@booksci.cn
Book学术提供免费学术资源搜索服务,方便国内外学者检索中英文文献。致力于提供最便捷和优质的服务体验。
Copyright © 2023 Book学术 All rights reserved.
ghs 京公网安备 11010802042870号 京ICP备2023020795号-1