首页 > 最新文献

Interdisciplinary Academic and Research Journal最新文献

英文 中文
อำนาจละมุนของวัฒนธรรมนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์: การวิจัยเกี่ยวกับการบูรณาการศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงกับศิลปะสื่อสิ่งใหม่ อำนาจละมุนของวัฒนธรรมนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์: การวิจัยเกี่ยวกับการบูรณาการศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงกับศิลปะสื่อสิ่งใหม่
Pub Date : 2024-06-07 DOI: 10.60027/iarj.2024.275722
Qiang Zhu, เสกสรรค์ ตันยาภิรมย์, ฝนทิพย์ วรรธนะศิรินทร์ รังสิตสวัสดิ์
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงถือเป็นส่วนสำคัญที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศจีน โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาการผสานรวมระหว่างศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงกับศิลปะสื่อสิ่งใหม่ ใช้เป็นอำนาจละมุนทางวัฒนธรรมในการสร้างสรรค์และเผยแพร่ค่านิยมดั้งเดิมในยุคดิจิทัลระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยวรรณกรรม วิธีการสำรวจภาคสนาม วิธีนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ และวิธีการวิจัยอื่นๆ เพื่อทำการวิจัยและวิเคราะห์วัตถุประสงค์ของการวิจัยทั้งสามประการ ได้แก่ ประการแรก เพื่อวิจัยภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ สังคม และวิวัฒนาการของศิลาดลมณฑลเจ้อเจียง ตลอดจนภาพรวมของการพัฒนาของศิลปะสื่อสิ่งใหม่ ประการที่สอง เพื่อวิเคราะห์ลักษณะและคุณค่าทางสุนทรีย์ของศิลาดลมณฑลเจ้อเจียง และการประยุกต์ใช้ทางเทคนิคของศิลปะสื่อสิ่งใหม่ ประการที่สาม เพื่อวิจัยอำนาจละมุนของการนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ของรูปแบบผลงานศิลปะที่ผสมผสานระหว่างศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงและศิลปะสื่อสิ่งใหม่ สุดท้ายจึงได้รับระบบองค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ของศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงและศิลปะสื่อสิ่งใหม่ ได้รับลักษณะและคุณค่าทางสุนทรียภาพของศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงที่มีรูปทรงที่สวยงาม ลวดลายที่หลากหลาย สีเคลือบบริสุทธิ์ และเทคโนโลยีสื่อสิ่งใหม่ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการทางเทคนิค ตัวอย่างเช่น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการเขียนโปรแกรมดิจิทัล เทคโนโลยีแสงและเงา เทคโนโลยีการฉายภาพ เทคโนโลยีผลลัพธ์ทางเสียง และเทคโนโลยีอื่นๆ อย่างครอบคลุม ตลอดจนความดื่มด่ำและการโต้ตอบที่เกิดจากผลงานโดยรวม และได้รับการผสมผสานทางนวัตกรรมของทั้งสองเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดเป็นอำนาจละมุนทางวัฒนธรรมผลการวิจัย: ผลการวิจัยเปิดเผยว่า ศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงไม่เพียงแต่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องราวของประเทศจีนที่สวยงามและซาบซึ้งอีกด้วย รูปแบบของผลงานที่บูรณาการเข้ากับศิลปะสื่อสิ่งใหม่สามารถส่งอิทธิพลต่อการรับรู้และความเข้าใจของสาธารณชนที่มีต่อศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงจากมุมมองที่แตกต่างกันในรูปแบบใหม่ และช่วยกระตุ้นการส่งเสริมและการเผยแพร่วัฒนธรรมศิลาดลและวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศจีนสรุปผล: การวิจัยเน้นย้ำถึงศักยภาพของการรวมกันระหว่างศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงกับศิลปะสื่อสิ่งใหม่เป็นกลยุทธ์ทางวัฒนธรรมละมุน การผสานนี้ส่งเสริมการประเมินค่าและการเผยแพร่ศิลาดลมณฑลและวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม ช่วยเพิ่มการมองเห็นและความเกี่ยวข้องในสังคมสมัยใหม่
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:ศิลาดลมณฑเจ้อเจียงถือเป็นส่วนสำคัญที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศจีน โดยีมเป้าหมายเพอือศึกษาการผสานรวมระหมเจียงกับศิลปสะือสิ่งใหม่ใช้เป็นอำนาจละมุนทางวัฒนธรรมในการสร้างสรค์และเผยแพรค่านิยมดั้งเดิมในยุคดิจิทัลระเบียบวิธีการวิจัย:การวิจัยนี้ใช้วิธีการวจัยวรณกรรม วิธีการสำรวจภาคสนาม วิธีนวัตกรรมเชิงสร้างสรค์ และวิธีการวจัยอื่นๆ เพื่อทำการวจิัยและวิเคราะห์วัตถุประสง์คของการวิจัยทั้งสมาประการเพือวิจัยภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ สังคม และวิวัฒนาการของศิลาดลมณฑลเจ้อเจียง ตอลดจนภาพรวมของการพัฒนาของศิลปะสือสิ่งใหม่เพือวจัยอำนาจละมุนของการนวัตกรรมเชิงสร้าสรค์ของรูปแบผลงานศิลปะที่ผสมผสานระหม่สุดท้ายจึงได้รับระบองค์ความรูเกี่ยวกับารพัฒนาทางประวัติศาสตร์ของณฑลเจ้อเจียงและศิลปะสือสิ่งให่มได้รับลักษณะและคุณค่าทางสุนทรียภาพของศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงที่มีรูปทรงที่สวยงาม ลวดลายที่หลากหลาย สีเคลือบบริสุทธิ์ และเทคโนโลยีสื่อสิ่งใหม่ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการทางเทคนิค ตัวอย่างเช่นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการเขียนโปรแกรมดิจิทัล เทคโนโลยีแสงและเงา เทคโนโลยีการฉายภาพ เทคโนโลยีผลลัพธ์ทางเสียง และเทคโนโลยีอื่นๆ อย่างครอบคลุมผลารวจัยเปิดเผยว่า ศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงไม่เพียงแต่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาและมีีวัฒธรมรมที่ลึกซึ้งเท่านั้น แต่ยังมีเรืองราวของประเทศจีนที่สวยงามและซาบซึงอีกด้วยแลอยแบลอยณาการเข้ากับศิลปะสือสิ่งใหม่สามารถส่งอิทธิพลอการับรู้แลอยธารณชนที่มี่ตี่อศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงจากมุมองที่แตกางกันใหม่งและช่วยกระตุนการส่งเสริมและการเผยแพร่วัฒนธรรมศิลาดลและวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศจีนสรุป↪LoE1C↩ล:การวิจัยเน้นย้ำถึงศักภาพของการวมกันระหว่างศิลาดลมณฑลเจ้เียงกับศิลปะสือสิ่งใหม่เป็นกลยุทธ์ทางวัฒนธรมละมุนการผสานี้ส่งเสริมการประเมินค่าและการเผยแพร่ศลาดารมณฑและวัฒนธรมจีนดั้งเดิม ช่วยเพิ่มการมองเห็นและความเกี่ยวข้องในสังคมสมัยใหม่
{"title":"อำนาจละมุนของวัฒนธรรมนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์: การวิจัยเกี่ยวกับการบูรณาการศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงกับศิลปะสื่อสิ่งใหม่","authors":"Qiang Zhu, เสกสรรค์ ตันยาภิรมย์, ฝนทิพย์ วรรธนะศิรินทร์ รังสิตสวัสดิ์","doi":"10.60027/iarj.2024.275722","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275722","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงถือเป็นส่วนสำคัญที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศจีน โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาการผสานรวมระหว่างศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงกับศิลปะสื่อสิ่งใหม่ ใช้เป็นอำนาจละมุนทางวัฒนธรรมในการสร้างสรรค์และเผยแพร่ค่านิยมดั้งเดิมในยุคดิจิทัล\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยวรรณกรรม วิธีการสำรวจภาคสนาม วิธีนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ และวิธีการวิจัยอื่นๆ เพื่อทำการวิจัยและวิเคราะห์วัตถุประสงค์ของการวิจัยทั้งสามประการ ได้แก่ ประการแรก เพื่อวิจัยภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ สังคม และวิวัฒนาการของศิลาดลมณฑลเจ้อเจียง ตลอดจนภาพรวมของการพัฒนาของศิลปะสื่อสิ่งใหม่ ประการที่สอง เพื่อวิเคราะห์ลักษณะและคุณค่าทางสุนทรีย์ของศิลาดลมณฑลเจ้อเจียง และการประยุกต์ใช้ทางเทคนิคของศิลปะสื่อสิ่งใหม่ ประการที่สาม เพื่อวิจัยอำนาจละมุนของการนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ของรูปแบบผลงานศิลปะที่ผสมผสานระหว่างศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงและศิลปะสื่อสิ่งใหม่ สุดท้ายจึงได้รับระบบองค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ของศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงและศิลปะสื่อสิ่งใหม่ ได้รับลักษณะและคุณค่าทางสุนทรียภาพของศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงที่มีรูปทรงที่สวยงาม ลวดลายที่หลากหลาย สีเคลือบบริสุทธิ์ และเทคโนโลยีสื่อสิ่งใหม่ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการทางเทคนิค ตัวอย่างเช่น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการเขียนโปรแกรมดิจิทัล เทคโนโลยีแสงและเงา เทคโนโลยีการฉายภาพ เทคโนโลยีผลลัพธ์ทางเสียง และเทคโนโลยีอื่นๆ อย่างครอบคลุม ตลอดจนความดื่มด่ำและการโต้ตอบที่เกิดจากผลงานโดยรวม และได้รับการผสมผสานทางนวัตกรรมของทั้งสองเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดเป็นอำนาจละมุนทางวัฒนธรรม\u0000ผลการวิจัย: ผลการวิจัยเปิดเผยว่า ศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงไม่เพียงแต่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องราวของประเทศจีนที่สวยงามและซาบซึ้งอีกด้วย รูปแบบของผลงานที่บูรณาการเข้ากับศิลปะสื่อสิ่งใหม่สามารถส่งอิทธิพลต่อการรับรู้และความเข้าใจของสาธารณชนที่มีต่อศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงจากมุมมองที่แตกต่างกันในรูปแบบใหม่ และช่วยกระตุ้นการส่งเสริมและการเผยแพร่วัฒนธรรมศิลาดลและวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศจีน\u0000สรุปผล: การวิจัยเน้นย้ำถึงศักยภาพของการรวมกันระหว่างศิลาดลมณฑลเจ้อเจียงกับศิลปะสื่อสิ่งใหม่เป็นกลยุทธ์ทางวัฒนธรรมละมุน การผสานนี้ส่งเสริมการประเมินค่าและการเผยแพร่ศิลาดลมณฑลและวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม ช่วยเพิ่มการมองเห็นและความเกี่ยวข้องในสังคมสมัยใหม่","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 19","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141374640","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
สมรรถนะทางเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษายุค 4.0 สมรรถนะทางเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษายุค 4.0
Pub Date : 2024-06-07 DOI: 10.60027/iarj.2024.276226
นุ่นนภา เหล่าเจริญ, พงษ์สุวรรณ ศรีสุวรรณ, ภูมิภควัธจ์ ภูมพงศ์คชศร
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: สมถรรนะทางเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในยุค 4.0 เน้นการปรับตัวและพัฒนาทักษะให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในสถานศึกษา การสร้างสมถรรนะดิจิทัลนี้ เน้นการเรียนรู้ตลอดเวลาเพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและการพัฒนาทักษะในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษายุค 4.0 จำเป็นต้องเป็นผู้นำที่มีความรู้ความเข้าใจทั้งในด้านเทคโนโลยีและการศึกษาเพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกด้านของการบริหารและการพัฒนาในสถานศึกษาในยุคดิจิทัล การพัฒนาสมถรรนะทางเทคโนโลยีดิจิทัลจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเตรียมความพร้อมและปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในสถานศึกษาในปัจจุบันและอนาคตระเบียบวิธีการศึกษา: ปัจจุบันการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของครูเป็นเรื่องสำคัญขององค์กรการศึกษาทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากต่างประเทศได้มีการกำหนดกรอบแนวทางพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของนักการศึกษาเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางพัฒนาสมรรถนะของนักการศึกษา จำนวน 5 ฉบับ ประกอบด้วย (1) กรอบการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของนักการศึกษายุโรป (European Framework for the Digital Competence of Educators: DigCompEdu) (2) กรอบการพัฒนาสมรรถนะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของครูที่กำหนดโดย UNESCO (UNESCO ICT Competency Framework for Teachers: ICT CFT) (3) กรอบการพัฒนาวิชาชีพการสอนแบบดิจิทัล (Digital Teaching Professional Framework: DTPF) (4) กรอบการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลวิชาชีพครู (Professional digital competence framework for teachers: PDCF) และ (5) กรอบการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลทั่วไปของครู (The Common Digital Competence Framework for Teachers: CDCFT)ผลการศึกษา: การพัฒนาศักยภาพความเป็นนวัตกรการศึกษาให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดนั้น ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยองค์กรต้องมีการจัดการที่เอื้อต่อการเรียนรู้ที่จะนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมของบุคลากร ทั้งในระดับบุคคล ระดับกลุ่ม และระดับองค์กร หรือเรียกได้ว่า เป็นการจัดการเพื่อความยั่งยืนเชิงนวัตกรรม (Management for innovative sustainability) โดยมุ่งจัดการให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ รวมถึงมีการจัดการความรู้และการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ปัญหาอุปสรรคที่พบคือ ผู้บริหารยังใช้การบริหารแบบเดิม ๆ ไม่สอดคล้องกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ขาดการใช้สื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังไม่ส่งเสริมให้ครูใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผล ส่วนปัญหาเกี่ยวกับการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของครูในประเทศไทย คือ การที่ยังไม่มีการพัฒนากรอบการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของครูและบุคลากรทางการศึกษา ยังมีเพียงการกำหนดระดับสมรรถนะดิจิทัลของครูและบุคลากรทางการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็น 3 ระดับคือ สมรรถนะดิจิทัลขั้นพื้นฐาน สมรรถนะดิจิทัลขั้นกลาง และสมรรถนะดิจิทัลขั้นสูง และแบ่งการพัฒนาเป็น 7 ขั้น แต่ยังไม่ได้กำหนดสมรรถนะดิจิทัลที่ต้องพัฒนาในแต่ละระดับสรุปผล: กล่าวได้ว่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด เจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาจะต้องได้รับการส่งเสริมให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และมีความคิดสร้างสรรค์ กรอบการทำงานที่มีโครงสร้างสำหรับการประเมินและเพิ่มประสิทธิภาพความสามารถด้านดิจิทัลของครูมีความจำเป็นในการเอาชนะอุปสรรคต่างๆ เช่น เทคนิคการจัดการที่ล้าสมัย และการขาดการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งจะช่วยส่
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: สมถรรนะทางเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในยุค 4.0 เน้นการปรับตัวและพัฒนาทักษะใหเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในสถานศึกษา การสร้างสมถรรนดิจิทัลนี้เด็กเรียนรู้ตลอเดวลาเพื่อปรับตัวต่อการเปลียนแปลงของเทคโนโลียและการพัฒนาทักษะในารนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษายุค 4.0จำเป็นต้องเป็นผู้นำที่มีความรู้ความเข้าใจทั้งในด้านเทคโนโลยีและการศึกษาเพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกด้านของการบริหารและการพัฒนาในสถานศึกษาในยุคดิจิทัลฒถถรนรนระทางเทคโนลยีดจิทัลึงเป็นสิ่งสำคัญในการเตรียมความพร้อและปรับตัวให้อส้งกับารเปลี่ยนแปลงขงเทคนโลยีในสถานเE28↩ึกษา:ปัจุบันการพั↪LoE12↩นาสมรร↪LoE16↩นะดิจิทัลของครูเป็นเรื่องสำคั↪LoE0D↩ขงงอค์กรการ↪LoE28↩ึกษาทั่วลจังจะเด็ศศประเทศศศประเทศศศประเทศศเทศศศประเทศศศจำนวน 5 ฉบับ ประอกบด้วย (1) กรอกบารพัฒนาสมรรถนจิทัลของนักการศึกษายุโรป (European Framework for the Digital Competence of Educators:DigCompEdu) (2) กรอบการพัฒนาสมรรถนะเทคโนเทศและการสื่อสารของครูที่กำหนดโดย UNESCO (UNESCO ICT Competency Framework for Teachers:ICT CFT) (3) กรอบการพัฒนาวิชาชีพการสอนแบบดิจิทัล (数字教学专业框架:DTPF) (4) กรอบการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลวิชาชีพครู (Professional digital competence framework for teachers:(5) กรอกรอบารพัฒนาสมรรถนจิทัลวิชชีพครู (The Common Digital Competence Framework for Teachers: CDCFT)ผลการศึกษา:การพัฒนาศักยภาพความเป็นนวัตรการศึกษาให้เกิดประสิทธิภาพแะประสิทธิผลสูงสุดนั้น ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างต่อเน่อออออออยั่งยนโดยองค์กรต้องมีกรจัดการที่เอือต่อการเรียนรู้ที่จะนำไปสู่การสรางสรคนวัตกรมของบุคลากร ทั้งในระดับบุคล ระดับกลุ่ม และระดับองค์กรเด็ือเรียกได้ว่า เป็นการจัดากรเพื่คอวามยั่งยืนเชินงวัตกรรม (Management for innovative sustainability) โดยมุ่งจัดการให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้รวมถ ึงมีการจัดากรความรู้และการจัดการเทคโนโลียสารสนเทศที่เหมาะสม ปัญหาอุปสรคที่พบคือ ผู้บริหารยังใช้การบริหารแบเดิม ๆ ไม่สอดค้อกงับารใชเท้คโนโลียดิจิทัลขาดากรใชส้ื่อนวัตกรรมและเทคนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังไมส่งเสริมให้ครูใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดารเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผลสารี่ยวกับารพัฒนาสมรรถนะดจิทัลของครูในประเทศไทย คือ การที่ยังไทยมมีการพัฒนากรอบการพัฒนาสมรรถนะดจิทัลของครูและบุคลากรทางการศึกษายังมีเพียงการกำหนดระดับสมรรถนะดิจิทัลของครูและบุคลากรทางการศึกษาระดับารศึกษาขั้นพื้นฐานเป็น 3 ระดับคือ สมรรถนะดิจิทัลขั้นพื้นฐานสมรรถนะดิจิทัลขันกลาง และสมรรถนะดิจิทัลขั้นสูง และแบ่งการพัฒนาเป็น 7 ขั้น แต่ยังไม่ได้กำหนดสมรรถนะดิจิทัลที่ตอ้งพัฒนาในแต่ยะระดับสรุปผล:เด็กเด็กเมประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด เจ้าหนารศึกษาจะต้องได้ับการส่งเสริมให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และีความคิดสร้างสรค์กรอบการทำงานที่มีโครงสร้างสำหรับการประเมินและเพิ่มประสิทธิภาพความสามารถด้านดิจิทัลของควาจมำเป็นในการเอาชนะอุปสรรคต่างๆเช่น เทคนิคการจัดากรที่ล้าสมัย และการขาดการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งจะช่วยส่งเสริมนวัตกรรมในระยะยาวในด้านการศึกษา
{"title":"สมรรถนะทางเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษายุค 4.0","authors":"นุ่นนภา เหล่าเจริญ, พงษ์สุวรรณ ศรีสุวรรณ, ภูมิภควัธจ์ ภูมพงศ์คชศร","doi":"10.60027/iarj.2024.276226","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276226","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: สมถรรนะทางเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาในยุค 4.0 เน้นการปรับตัวและพัฒนาทักษะให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในสถานศึกษา การสร้างสมถรรนะดิจิทัลนี้ เน้นการเรียนรู้ตลอดเวลาเพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและการพัฒนาทักษะในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษายุค 4.0 จำเป็นต้องเป็นผู้นำที่มีความรู้ความเข้าใจทั้งในด้านเทคโนโลยีและการศึกษาเพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกด้านของการบริหารและการพัฒนาในสถานศึกษาในยุคดิจิทัล การพัฒนาสมถรรนะทางเทคโนโลยีดิจิทัลจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเตรียมความพร้อมและปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในสถานศึกษาในปัจจุบันและอนาคต\u0000ระเบียบวิธีการศึกษา: ปัจจุบันการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของครูเป็นเรื่องสำคัญขององค์กรการศึกษาทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากต่างประเทศได้มีการกำหนดกรอบแนวทางพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของนักการศึกษาเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางพัฒนาสมรรถนะของนักการศึกษา จำนวน 5 ฉบับ ประกอบด้วย (1) กรอบการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของนักการศึกษายุโรป (European Framework for the Digital Competence of Educators: DigCompEdu) (2) กรอบการพัฒนาสมรรถนะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของครูที่กำหนดโดย UNESCO (UNESCO ICT Competency Framework for Teachers: ICT CFT) (3) กรอบการพัฒนาวิชาชีพการสอนแบบดิจิทัล (Digital Teaching Professional Framework: DTPF) (4) กรอบการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลวิชาชีพครู (Professional digital competence framework for teachers: PDCF) และ (5) กรอบการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลทั่วไปของครู (The Common Digital Competence Framework for Teachers: CDCFT)\u0000ผลการศึกษา: การพัฒนาศักยภาพความเป็นนวัตกรการศึกษาให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดนั้น ต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยองค์กรต้องมีการจัดการที่เอื้อต่อการเรียนรู้ที่จะนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมของบุคลากร ทั้งในระดับบุคคล ระดับกลุ่ม และระดับองค์กร หรือเรียกได้ว่า เป็นการจัดการเพื่อความยั่งยืนเชิงนวัตกรรม (Management for innovative sustainability) โดยมุ่งจัดการให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ รวมถึงมีการจัดการความรู้และการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ปัญหาอุปสรรคที่พบคือ ผู้บริหารยังใช้การบริหารแบบเดิม ๆ ไม่สอดคล้องกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ขาดการใช้สื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังไม่ส่งเสริมให้ครูใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผล ส่วนปัญหาเกี่ยวกับการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของครูในประเทศไทย คือ การที่ยังไม่มีการพัฒนากรอบการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของครูและบุคลากรทางการศึกษา ยังมีเพียงการกำหนดระดับสมรรถนะดิจิทัลของครูและบุคลากรทางการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็น 3 ระดับคือ สมรรถนะดิจิทัลขั้นพื้นฐาน สมรรถนะดิจิทัลขั้นกลาง และสมรรถนะดิจิทัลขั้นสูง และแบ่งการพัฒนาเป็น 7 ขั้น แต่ยังไม่ได้กำหนดสมรรถนะดิจิทัลที่ต้องพัฒนาในแต่ละระดับ\u0000สรุปผล: กล่าวได้ว่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด เจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาจะต้องได้รับการส่งเสริมให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และมีความคิดสร้างสรรค์ กรอบการทำงานที่มีโครงสร้างสำหรับการประเมินและเพิ่มประสิทธิภาพความสามารถด้านดิจิทัลของครูมีความจำเป็นในการเอาชนะอุปสรรคต่างๆ เช่น เทคนิคการจัดการที่ล้าสมัย และการขาดการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งจะช่วยส่","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 35","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141375148","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การศึกษาบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัลสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ การศึกษาบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัลสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์
Pub Date : 2024-06-07 DOI: 10.60027/iarj.2024.276094
จุฑาทิพย์ ไชยสุริย์, อมร มะลาศรี, คมสันทิ์ ขจรปัญญาไพศาล
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: นิวนอร์มัล คือ รูปแบบการดำเนินชีวิตอย่างใหม่ที่แตกต่างจากอดีต เนื่องจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 มากระทบจนแบบแผนแนวทางปฏิบัติที่คนในสังคมคุ้นเคยต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่วิถีใหม่ภายใต้หลักมาตรฐานใหม่ที่ไม่คุ้นเคย การจัดการเรียนการสอนในปัจจุบันก็เช่นกัน สำหรับผู้เรียนทุกคนต้องพึ่งพาหลายปัจจัยทั้งความพร้อมด้านเทคโนโลยีและความพร้อมของครูในการจัดการเรียนการสอนแบบใหม่เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามผู้บริหารสถานศึกษาก็ต้องมีหลักการทำงานเป็นทีมที่สอดคล้องกับยุคนิวนอร์มัลที่สามารถดึงความรู้ความสามารถของสมาชิกในทีมงานออกมาเพื่อแบ่งปัน และเพื่อร่วมกันปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถจนทำให้การดำเนินงานในสถานศึกษาประสบผลสำเร็จ โดยการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ 2) เพื่อศึกษาระดับบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ และ 3) เพื่อเปรียบเทียบระดับบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ จำแนกตามประสบการณ์ในการบริหารงานและจำแนกตามขนาดโรงเรียนระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ (1) การศึกษาองค์ประกอบของบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ มีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้างที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น (2) การศึกษาและเปรียบเทียบระดับบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ จำแนกตามประสบการณ์ในการบริหารงานและขนาดโรงเรียน 2 ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ในปีการศึกษา 2565 จำนวนทั้งสิ้น 55 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามซึ่งมีลักษณะเป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .92 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ หาร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการวิจัย (1) บทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ประกอบด้วย 7 บทบาท ได้แก่ 1) ด้านวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน 2) ด้านความร่วมมือและการใช้ความขัดแย้งในทางสร้างสรรค์ 3) ด้านการปฏิบัติงาน 4) ด้านการติดต่อสื่อสาร 5) ด้านภาวะผู้นำ 6) ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และ 7) ด้านการสร้างขวัญและกำลังใจ (2) บทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (3) บทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ จำแนกตามประสบการณ์ในการบริหารงาน โดยรวมแตกต่างกัน (4) บทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ จำแนกตามขนาดโรงเรียน โดยรวมแตกต่างกันสรุปผล (1) ผู้บริหารโรงเรียนได้เปิดโอกาสให้ครูและบุคลากรมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติจะส่งผลให้ครูและบุคลากรเกิดขวัญและกำลังใจในการทำงาน มีความรู้สึกในมความเป็นเ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:นิวนอร์มัล คือ รูปแบการดำเนินชีวิตอย่างใหม่ที่แตกต่างจากอดีต เนืองจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาขดอง covid-19 มากระทบจนแบแผนแนวทางปฏิบัติที่คนในสังคมคุ้นเคยต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่วิถีใหม่ภายใต้าหม่ที่ไมคุ้นเคย กรจัดการเรียนการสอนในปจัจุบันก็เช่นกันสำรับผู้อเรียนทุกคนต้องพึ่งพหลายปัจัยทั้งความพร้อมด้านเทคโนโลียและวามพร้อของครูในการจัดการเรียนประสิทธิภาพเด็กเด็กเสถศึกษากต็จ้อองีหาลัการทำงานเป็นทีมที่สออยุคนิวนอร์มัหารถถดึงคนิวนารถขงอสมาชิชกในทีงานออกมาเพออออออืและเพือร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ย่อางเต็มความสามารถจนทำให้ารดำผลสำเร็จโดยการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัลสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ 2) เพื่อศึกษาระดับบทบาทของผู้บริหารงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัลสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ และ 3) เพื่อเปรียบเทียบระดับทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการส้างทีมงานในยุคนิวนร์มัลสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธ์ุ จำแนกตามประบสการณ์ในการบริหารในแนกตามขนาดโรงเรียนระเบียบวิธีการวจั:การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ (1) การศึกษาองค์ประกอบของบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ มีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 คน ได้มาโดยากรเลือกแบเจาะจง เรื่องมืที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้างที่ผู้วิจัยสร้างข้น(2) การศึกษาและเปรียบเทียบรดับทบาของผู้บริหารเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัลสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ จำแนกตามประสบการณ์ในการบริหารงานและขนาดโรงเรียน 2 ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ในปีการศึกษา 2565 จำนวนทั้งสิ้น 55 คน เรื่องมืที่ใช้ในการเ็บรวบรมข้อมูลเป็นแบบสอบถามซึ่งมีลักษณะเป็นแบมตารส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าควมเชื่อมั่น เท่ากับ .92 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ หาร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนามตรฐานผลการวิจัย (1) บทบาขทองผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอ์รมัลสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ประกอบด้วย 7 บทบาท ได้แก่ 1) ด้านวัตถ↩ุประสงค์ที่ชดัเจน 2)ด้านความร่วมือและากรใช้ความขัดแย้งในทางสร้างสรค์ 3) ด้านการปฏิบัติงาน 4) ด้านการติด่ตอสื่อสาร 5) ด้านภาวะผู้นำ 6) ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และ7) เดียนารสร้างขวัญและกำลังใจ (2) บทบาทของผู้บริหารรงเรียนในารสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์โดยรวมอยู่ในระดับมาก (3) บทบาทของผู้บริหารโงเรียนในการสร้างทีงานในุยคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงาเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากากาฬสินธุ์จำแนกตามประสบการณ์ในการบริหารงาน โดยรวมแกตางกัน (4) บทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการรส้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึษากาฬสินธุนจำแนกตามขนาดโรงเรียน โดยรวมแตกต่างกันสรุปผล (1) ผู้บริหารโรงเรียนได้เปิดโอกาสให้ครูและบุคลากรมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติจะส่งผลให้ครูและบุคลากรเกิดขวัญและกำลังใจในการทำงานมีความรู้สึเป็นเจ้าของ เกิดความภาคูมิใจในงานที่ได้ากระทำมีความขยันขันแข็ง กระตือรือร้นที่จะคิดสร้างสร์คงานให้ากวหน้ายิ่งขึ้น (2)ผู้ามขัดแย้งผู้ามขัดแย้งผทิญหน้ากับปัญหน้าวามขัดแย้งใหน้งใลักษณสะร้างสรค์และเป็ประโ
{"title":"การศึกษาบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัลสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์","authors":"จุฑาทิพย์ ไชยสุริย์, อมร มะลาศรี, คมสันทิ์ ขจรปัญญาไพศาล","doi":"10.60027/iarj.2024.276094","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276094","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: นิวนอร์มัล คือ รูปแบบการดำเนินชีวิตอย่างใหม่ที่แตกต่างจากอดีต เนื่องจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 มากระทบจนแบบแผนแนวทางปฏิบัติที่คนในสังคมคุ้นเคยต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่วิถีใหม่ภายใต้หลักมาตรฐานใหม่ที่ไม่คุ้นเคย การจัดการเรียนการสอนในปัจจุบันก็เช่นกัน สำหรับผู้เรียนทุกคนต้องพึ่งพาหลายปัจจัยทั้งความพร้อมด้านเทคโนโลยีและความพร้อมของครูในการจัดการเรียนการสอนแบบใหม่เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามผู้บริหารสถานศึกษาก็ต้องมีหลักการทำงานเป็นทีมที่สอดคล้องกับยุคนิวนอร์มัลที่สามารถดึงความรู้ความสามารถของสมาชิกในทีมงานออกมาเพื่อแบ่งปัน และเพื่อร่วมกันปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถจนทำให้การดำเนินงานในสถานศึกษาประสบผลสำเร็จ โดยการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ 2) เพื่อศึกษาระดับบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ และ 3) เพื่อเปรียบเทียบระดับบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ จำแนกตามประสบการณ์ในการบริหารงานและจำแนกตามขนาดโรงเรียน\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ (1) การศึกษาองค์ประกอบของบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ มีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้างที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น (2) การศึกษาและเปรียบเทียบระดับบทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ จำแนกตามประสบการณ์ในการบริหารงานและขนาดโรงเรียน 2 ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ในปีการศึกษา 2565 จำนวนทั้งสิ้น 55 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามซึ่งมีลักษณะเป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .92 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ หาร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน\u0000ผลการวิจัย (1) บทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ ประกอบด้วย 7 บทบาท ได้แก่ 1) ด้านวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน 2) ด้านความร่วมมือและการใช้ความขัดแย้งในทางสร้างสรรค์ 3) ด้านการปฏิบัติงาน 4) ด้านการติดต่อสื่อสาร 5) ด้านภาวะผู้นำ 6) ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และ 7) ด้านการสร้างขวัญและกำลังใจ (2) บทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (3) บทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ จำแนกตามประสบการณ์ในการบริหารงาน โดยรวมแตกต่างกัน (4) บทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในการสร้างทีมงานในยุคนิวนอร์มัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาฬสินธุ์ จำแนกตามขนาดโรงเรียน โดยรวมแตกต่างกัน\u0000สรุปผล (1) ผู้บริหารโรงเรียนได้เปิดโอกาสให้ครูและบุคลากรมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติจะส่งผลให้ครูและบุคลากรเกิดขวัญและกำลังใจในการทำงาน มีความรู้สึกในมความเป็นเ","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"2 4","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141375829","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกรณีศึกษา การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกรณีศึกษา
Pub Date : 2024-06-07 DOI: 10.60027/iarj.2024.275958
พรพิมล พลเรือง, ไพศาล วรคำ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบการใช้กรณีศึกษาเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ การทำงานเป็นทีม และทักษะการสื่อสาร รวมไปถึงสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบการใช้กรณีศึกษา ให้ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 75  ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มเป้าหมาย ที่ใช้ในการทำวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ห้อง รวม 11 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านหนองแสง อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 โดยการเลือกแบบเจาะจง ทำการวิจัยปฏิบัติการ 2 วงจรเครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้กรณีศึกษาเรื่อง สนุกกับพลังงานของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 6 แผน รวม 12 ชั่วโมง ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้น ได้แก่ ขั้นเตรียม ขั้นเสนอ กรณีศึกษา ขั้นวิเคราะห์ ขั้นสรุปและขั้นประเมิน มีความเหมาะสมในระดับมาก และ 2) แบบประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาแบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิดของ Weir รวม 12 ข้อ 4 สถานการณ์ใช้ประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 ก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และหลังวงจรปฏิบัติการ 2 วงจร ปฏิบัติการละ 12 ข้อ มีค่าความสอดคล้อง อยู่ระหว่าง 0.97 มีค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0.30-0.73 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และการวิเคราะห์ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละวงจรปฏิบัติการ สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยกำหนดเกณฑ์การผ่านร้อยละ 75ผลการวิจัย: ก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้กรณีศึกษา นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลี่ยแต่ละด้านไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 จำนวน 11 คน  ในวงจรปฏิบัติการที่ 1 พบว่า นักเรียนทุกคนมีความสามารถในการแก้ปัญหาสูงกว่าก่อนเรียนแต่มีผลการประเมินรายด้านทุกด้าน ยังไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 จำนวน 9 คน  และในวงจรปฏิบัติการที่ 2 พบว่า นักเรียนทุกคนมีความสามารถ ในการแก้ปัญหาผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 ทุกด้าน  การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้กรณีศึกษา ควรคำนึงถึงความสามารถของนักเรียนสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ความเข้าใจในแต่ละขั้นตอน กระตุ้นและเสริมแรงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักเรียนกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในกลุ่มสรุปผล: ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนมีข้อบกพร่องในช่วงแรกค่อนข้างมาก แต่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมากด้วยการนำการเรียนรู้จากกรณีศึกษามาใช้ อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอและวิธีการที่กำหนดเองยังคงจำเป็นเพื่อรับประกันว่านักเรียนจะเข้าถึงระดับความสามารถที่จำเป็นในทุกด้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสอนต่อเนื่องและการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบร่วมมือ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:การจัดการรมการเรียนรู้แบการ↪LoE43↩ช้กร↪LoE13↩ี↪LoE28↩ึกษาเป็นวิ↪LoE18↩ีที่มีประสิท↪LoE18↩ิภาพ↪LoE43↩นการพ↪LoE12↩นาควมสาาร↪LoE16↩↪LoE43↩นการแกป้ั↪LoE0D↩หาเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ การทำงานเป็นทีม และทัษะการส่อสาร รวมไปถึงสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิจตริงได้การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบการใช้กรณีศึกษา ให้ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 75 ระเบียบวิธีการวิจัย:เด็กเจัย: เด็กเจัย: เด็กเจัย: เด็กเจัย: ที่ใช้ในการทำวจัยครังนี้ เป็นักเรียนชั้นประถมศึษาปที่ 3 จำนวน 1 ห้อง รวม 11 คนภาคเรียนที่่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านหนงแสง อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานเขตพื้นที่ารศึกษาประถมศึษากาฬสินธุ์ เขต 2 โดยการเลือกแบเจาะจง ทำการวิจัยปฏิบัติการ 2 วงจรเครื่องมือที่ใช้ในการทวำิจัย1) แผนารจัดการเรียนรู้แบบใช้กรณีศึกษาเรื่อง สนุกับพลังงานของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 6แผน รวม 12 ชั่วโมง ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้น ได้แก่ ขั้นเตรียม ขั้นเสนอ กรณีศึกษา ขั้นวิเคราะห์ ขั้นสรุปและขั้นประเมินมีความเหมาะสมในระดับมากและ 2) แบบประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาแบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับตามแนวคิดของ Weir รวม 12 ข้อ 4 สถานการณ์ใช้ประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึษกา ปีที่ 32 วงจร ปฏิบัติการละ 12 ข้อ มีค่าความสอดค้อง อยู่ระหวาง 0.97 มีค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0.30-0.73 และ่คาความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนือหา และการวิเคราะห์ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนหลังการจัดกจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละวงจรปฏบัติการสถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยกำหนดเกณฑ์การผ่านร้อยละ 75ผลกาวิจัย:ผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผผ1 พบว่า นักเรียนทุกคนมีความสามารถในการแก้ปัญหาสูงกว่าก่อนเรียนแต่มีผลการประเมินรายด้านทุกด้าน ยังไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 จำนวน 9 คน และในวงจรปฏิบัติการที่ 2 พบว่านักเรียนทุกคนมีความสามารถ ในการแก้ปัญหาผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 ทุกด้าน การจัดิกจกรมารเรียนรู้แบบใช้กรณีศึกษาควรคำนึงถึงความสามารถของนักเรียนสภาพปัญหาที่เกิดอข้นความเข้าใจในแต่ละขั้นตอน กระตุ้นและเสรมแรงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักเรียนกล้าแสดงอก กล้าแสดงความคิเดห็น เกิดการแลกเปลียนเรียนรู้ากันในกลุ่มสรุปผล:ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนมีข้อบกพร่องในช่วงแรกค่อนข้างมาก แต่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมากด้วยการนำการเรียนรู้จากกรณีศึกษามาใช้ อย่างไรก็ตามการสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอและวิธีการที่ำกหนดเองยังคงจำเป็นเพื่รอับประกันว่านักเรียนจะเข้าถึงระดับความสาารถที่จำเป็นในทุด้านอย่างสม่ำเสมโดยเน้ำถึงความสำคัญของการสอนต่อเนืองและการสร้าสภาพแวดล้อมการียนร้อบร่วมอ
{"title":"การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกรณีศึกษา","authors":"พรพิมล พลเรือง, ไพศาล วรคำ","doi":"10.60027/iarj.2024.275958","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275958","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบการใช้กรณีศึกษาเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ การทำงานเป็นทีม และทักษะการสื่อสาร รวมไปถึงสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบการใช้กรณีศึกษา ให้ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 75  \u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มเป้าหมาย ที่ใช้ในการทำวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 1 ห้อง รวม 11 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านหนองแสง อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 โดยการเลือกแบบเจาะจง ทำการวิจัยปฏิบัติการ 2 วงจรเครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบใช้กรณีศึกษาเรื่อง สนุกกับพลังงานของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 6 แผน รวม 12 ชั่วโมง ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้น ได้แก่ ขั้นเตรียม ขั้นเสนอ กรณีศึกษา ขั้นวิเคราะห์ ขั้นสรุปและขั้นประเมิน มีความเหมาะสมในระดับมาก และ 2) แบบประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาแบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิดของ Weir รวม 12 ข้อ 4 สถานการณ์ใช้ประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 ก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และหลังวงจรปฏิบัติการ 2 วงจร ปฏิบัติการละ 12 ข้อ มีค่าความสอดคล้อง อยู่ระหว่าง 0.97 มีค่าอำนาจจำแนก อยู่ระหว่าง 0.30-0.73 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และการวิเคราะห์ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละวงจรปฏิบัติการ สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยกำหนดเกณฑ์การผ่านร้อยละ 75\u0000ผลการวิจัย: ก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้กรณีศึกษา นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลี่ยแต่ละด้านไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 จำนวน 11 คน  ในวงจรปฏิบัติการที่ 1 พบว่า นักเรียนทุกคนมีความสามารถในการแก้ปัญหาสูงกว่าก่อนเรียนแต่มีผลการประเมินรายด้านทุกด้าน ยังไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 จำนวน 9 คน  และในวงจรปฏิบัติการที่ 2 พบว่า นักเรียนทุกคนมีความสามารถ ในการแก้ปัญหาผ่านเกณฑ์ร้อยละ 75 ทุกด้าน  การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้กรณีศึกษา ควรคำนึงถึงความสามารถของนักเรียนสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ความเข้าใจในแต่ละขั้นตอน กระตุ้นและเสริมแรงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักเรียนกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในกลุ่ม\u0000สรุปผล: ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนมีข้อบกพร่องในช่วงแรกค่อนข้างมาก แต่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมากด้วยการนำการเรียนรู้จากกรณีศึกษามาใช้ อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอและวิธีการที่กำหนดเองยังคงจำเป็นเพื่อรับประกันว่านักเรียนจะเข้าถึงระดับความสามารถที่จำเป็นในทุกด้านอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสอนต่อเนื่องและการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบร่วมมือ","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 7","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141370746","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การส่งเสริมความพร้อมด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยด้วยกิจกรรมการเล่านิทาน โรงเรียนอนุบาลกว่างซี อำเภอชิงซิ่ว เมืองหนานหนิง ประเทศจีน การส่งเสริมความพร้อมด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยด้วยกิจกรรมการเล่านิทาน โรงเรียนอนุบาลกว่างซี อำเภอชิงซิ่ว เมืองหนานหนิง ประเทศจีน
Pub Date : 2024-06-07 DOI: 10.60027/iarj.2024.275420
ฉ่ายหยี่ จ้าว, พีระพร รัตนเกียรติ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ส่งเสริมความพร้อมด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยนั้น เด็กควรเรียนรู้ทักษะการเขียนอย่างมีความสุขและสนุกสนาน การส่งเสริมทักษะการเขียนควรให้เป็นการเรียนรู้ตามธรรมชาติและต้องคำนึงถึงธรรมชาติของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อเปรียบเทียบความพร้อมด้านการเขียนของปฐมวัยก่อนและหลังที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยการเล่านิทานระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัยที่มีอายุในช่วงอายุ 5 – 6 ปี โรงเรียนอนุบาลกว่างซี อำเภอชิงซิ่ว เมืองหนานหนิง ปีการศึกษา 2566 จำนวน 15 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบประเมินความพร้อมด้านการเขียนของเด็กปฐมวัย แบ่งเป็น 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการควบคุมการเคลื่อนไหวประสานกับการมองเห็น และด้านการรับรู้ทิศทางการเขียนตัวอักษรจีน และแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบหาค่า One group pretest-posttest design
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:การจัดกจกรรมการเรียนการสอนที่ส่งเสริมความพร้อด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยนั้น เดก็ควรเรียนรู้ทักษะการเขียนอย่างมีความสุแขละสนุกสนานเสิเทัษกะการเขียนควรให้เป็นการเรียนรู้ตามธรรมชาติและต้องคำนึงถึงธรรมชาติของการเจริญเติบตโและพัฒนาการของเด็กเดังนั้นการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อเปรียบเทียบความพร้อมด้านการเขียนของปฐมวัยก่อนและารจัดกิจกกรรมโดยการเลานิทนาระเบียบวิธีการวิจัย:เด็กปฐมวัยที่มีอายุในช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัยที่มีอายุในช่วงงอายุ 5 - 6 ปี โรงเรียนอนุบาลกว่างซี อำเภชอิงซิ่ว เมออืงหนาหนิง ปีการศึกษา2566 จำนวน 15 คน เด้มาโดยวิธีการเลือกแบเจาะจง (Purposive Sampling) เครือ่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบปบระเมินความพร้อมด้านการเขียนของเด็กปฐมวัย2 เดียน เดียน เดียน เดียน เดียน เดียน วบคุมการเคอลื่น เดียน เดียน เดียน มตัวอกษรจีนและแผนการจัดกิจกรมารเล่านิทาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนาตรฐาน และการทดสอบหาค่า 一组前测-后测设计
{"title":"การส่งเสริมความพร้อมด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยด้วยกิจกรรมการเล่านิทาน โรงเรียนอนุบาลกว่างซี อำเภอชิงซิ่ว เมืองหนานหนิง ประเทศจีน","authors":"ฉ่ายหยี่ จ้าว, พีระพร รัตนเกียรติ","doi":"10.60027/iarj.2024.275420","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275420","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ส่งเสริมความพร้อมด้านการเขียนของเด็กปฐมวัยนั้น เด็กควรเรียนรู้ทักษะการเขียนอย่างมีความสุขและสนุกสนาน การส่งเสริมทักษะการเขียนควรให้เป็นการเรียนรู้ตามธรรมชาติและต้องคำนึงถึงธรรมชาติของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อเปรียบเทียบความพร้อมด้านการเขียนของปฐมวัยก่อนและหลังที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยการเล่านิทาน\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัยที่มีอายุในช่วงอายุ 5 – 6 ปี โรงเรียนอนุบาลกว่างซี อำเภอชิงซิ่ว เมืองหนานหนิง ปีการศึกษา 2566 จำนวน 15 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบประเมินความพร้อมด้านการเขียนของเด็กปฐมวัย แบ่งเป็น 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการควบคุมการเคลื่อนไหวประสานกับการมองเห็น และด้านการรับรู้ทิศทางการเขียนตัวอักษรจีน และแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบหาค่า One group pretest-posttest design","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 15","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141373993","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
บทบาทขององค์การบริหารส่วนตำบลชะแมบกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในตำบลชะแมบ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บทบาทขององค์การบริหารส่วนตำบลชะแมบกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในตำบลชะแมบ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
Pub Date : 2024-06-07 DOI: 10.60027/iarj.2024.276155
จิรัฎฐ์ ฟักแก้ว, กัมลาศ เยาวะนิจ, ภิศักดิ์ กัลยาณมิตร
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างแท้จริงมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 เป็นต้นมา ซึ่งส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผู้สูงอายุได้กำหนดนโยบายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุซึ่งกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินงาน และจากรายงานสถิติผู้สูงอายุในตำบลชะแมบ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น รวม 787 คน ซึ่งการดำเนินงานในปัจจุบันยังไม่มีกรอบบทบาทการดำเนินงานที่ชัดเจน ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความต้องการของผู้สูงอายุ ในตำบลชะแมบ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (2) ศึกษาบทบาทขององค์การบริหารส่วนตำบลชะแมบในการดูแลผู้สูงอายุ และ (3) สร้างข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุตำบลชะแมบ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาระเบียบวิธีวิจัย: การวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีการด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ซึ่งสนทนากับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพตำบลชะแมบ และผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งสิ้น 20 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ ใช้คำถามในการสนทนาเจาะลึก (Probing Questions) นำมาประมวลคำตอบที่ได้จากการสนทนาโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis)ผลการวิจัย: (1) ความต้องการของผู้สูงอายุในตำบลชะแมบ ได้แก่ ความต้องการด้านสุขภาพ ความต้องการ ด้านจิตใจ และความต้องการด้านสังคม (2) องค์การบริหารส่วนตำบลชะแมบ มีบทบาทในการดูแลผู้สูงอายุ ดังนี้ 1) การให้บริการด้านสุขภาพอนามัย 2) การส่งเสริมอาชีพ/รายได้/สวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 3) การส่งเสริมการอยู่ร่วมกัน และ 4) การบริหารจัดการระบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต (3) ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุตำบลชะแมบ และข้อเสนอแนะในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุตำบลชะแมบ คือ 1) ควรมีนโยบายเกี่ยวกับการยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ บูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น หาแนวทางการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 2) ควรจัดสรรงบประมาณเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุให้ครบทุกด้าน 3) ตรวจเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุ เพื่อตรวจสุขภาพขั้นพื้นฐาน และ 4) ควรประชาสัมพันธ์ข่าวสารต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทั่วถึงทั้งตำบลสรุปผล: การศึกษานี้มุ่งความสนใจไปที่ความต้องการต่างๆ ทั้งด้านสังคม จิตวิทยา และสุขภาพ ที่ผู้สูงอายุในตำบลชะมาบมี โดยเน้นย้ำบทบาทขององค์การบริหารส่วนตำบลชะมาบในการตอบสนองความต้องการเหล่านี้ด้วยการให้บริการด้านสุขภาพ ส่งเสริมการจ้างงานและสวัสดิการ การบูรณาการชุมชน และการจัดการคุณภาพชีวิต พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการจัดสรรงบประมาณ การสร้างนโยบาย การเยี่ยมบ้าน และการแบ่งปันข้อมูลอย่างกว้างขวาง เพื่อให้มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ประเทศไทยเข้าูส่สังคมผู้สูงอายุอย่างแท้จริงมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548เป็นต้นมา ซึ่งส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผู้สูงอายุได้กำหนดนโยบายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุซึ่งกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานแมละจากรายงานสถิติผู้สูงอายุในตำบลชะแมบ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มึข้น รวม 787 คน ซึ่งการดำเนินงานในปัจจุบันยังไม่มีกรอบทบาทการดำเนินงานที่ชัดเจนดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความต้องการของผู้สูงอายุ ในตำบลชะแม อบำเภอวังน้อยุจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (2) ศึกษาบทบาทขององค์การบริหารส่วนตำบลชะแมบในการดูแลผู้สูงอายุ และ (3)สร้างข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุตำบลชะแมบ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยาระเบียบวิธีวิจัย:การวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีการด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ซึ่งสนทนากับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพตำบลชะแมบ60 ปีขึ้นไ ปรวมทั้งสิ้น 20 คน เครืองมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ ใช้คำถามในการสนทนาเจาะลอก(探究问题) นำมาประมวลคำตอบที่ได้จากการสนทนาโดยการวิเคราหะเชิงเนื้อหา (内容分析)ผลการวิจัย:(1) ความต้องการของผู้สูงอายุในตำบลชะแม เด้แก่ ความต้องการด้านสุขภาพ ความต้องการ ด้านจิตใจ และความต้องการด้านสังคม(2) องค์การบริหาส่วนตำบลชะแมบ มีบทบาทในการดูแลผู้สูงอายุ ดังนี้ 1) การให้บริการด้านสุขภาพอนมาัย2) การส่งเสริมอาชีพ/รายได้/สวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 3) การส่งเสริมการอยู่รวมกัน และ 4)การบริหารจัดการะบการพัฒนาคุณภาพชีวิต (3) ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุตำบลชะแมบและข้อเสนอแนะในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุตำบลชะแมบ คือ 1) ควรมีนโยบายเกี่ยวกับการยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ บูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น หาแนวทางการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 2)ควรจัดสรรงบประมาณเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุให้ครบทุกด้าน 3) ตรวจเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุ เพื่อตรวจสุขภาพขั้นพื้นฐาน และ 4) ควรประชาสัมพันธ์ข่าวสารต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทั่วถึงทั้งตำบลสรุปผล:การศึกษานี้ม่งความสนใจใปที่ความต้องกรต่างๆ ทั้งด้านสังคม จิตวิทยา และสุขภาพ ที่ผู้สูงอายุในตำบลชะมาบมีโดยเน้นย้ำบทบาทของค์การบริหาร่สวนตำบลชะมาบในการตอบสนองความต้องการี้วยการให้บริการ้านสุขภาพส่งเสริมการจ้างานและสวัสดิการ การบูรณาการชุมชน และการจัดการคุณภาพชีวิ ตพร้อมทั้งให้คำแนะนำในการจัดสรงบประมาณการสร้างนโยบายการเยี่ยมบ้าน และการแบ่งปันข้อมูลอย่างกว้างขวาง เพื่อให้มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อ
{"title":"บทบาทขององค์การบริหารส่วนตำบลชะแมบกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในตำบลชะแมบ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา","authors":"จิรัฎฐ์ ฟักแก้ว, กัมลาศ เยาวะนิจ, ภิศักดิ์ กัลยาณมิตร","doi":"10.60027/iarj.2024.276155","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276155","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างแท้จริงมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 เป็นต้นมา ซึ่งส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผู้สูงอายุได้กำหนดนโยบายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุซึ่งกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินงาน และจากรายงานสถิติผู้สูงอายุในตำบลชะแมบ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น รวม 787 คน ซึ่งการดำเนินงานในปัจจุบันยังไม่มีกรอบบทบาทการดำเนินงานที่ชัดเจน ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความต้องการของผู้สูงอายุ ในตำบลชะแมบ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (2) ศึกษาบทบาทขององค์การบริหารส่วนตำบลชะแมบในการดูแลผู้สูงอายุ และ (3) สร้างข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุตำบลชะแมบ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา\u0000ระเบียบวิธีวิจัย: การวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีการด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ซึ่งสนทนากับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพตำบลชะแมบ และผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งสิ้น 20 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ ใช้คำถามในการสนทนาเจาะลึก (Probing Questions) นำมาประมวลคำตอบที่ได้จากการสนทนาโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis)\u0000ผลการวิจัย: (1) ความต้องการของผู้สูงอายุในตำบลชะแมบ ได้แก่ ความต้องการด้านสุขภาพ ความต้องการ ด้านจิตใจ และความต้องการด้านสังคม (2) องค์การบริหารส่วนตำบลชะแมบ มีบทบาทในการดูแลผู้สูงอายุ ดังนี้ 1) การให้บริการด้านสุขภาพอนามัย 2) การส่งเสริมอาชีพ/รายได้/สวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 3) การส่งเสริมการอยู่ร่วมกัน และ 4) การบริหารจัดการระบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต (3) ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุตำบลชะแมบ และข้อเสนอแนะในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุตำบลชะแมบ คือ 1) ควรมีนโยบายเกี่ยวกับการยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ บูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น หาแนวทางการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 2) ควรจัดสรรงบประมาณเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุให้ครบทุกด้าน 3) ตรวจเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุ เพื่อตรวจสุขภาพขั้นพื้นฐาน และ 4) ควรประชาสัมพันธ์ข่าวสารต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทั่วถึงทั้งตำบล\u0000สรุปผล: การศึกษานี้มุ่งความสนใจไปที่ความต้องการต่างๆ ทั้งด้านสังคม จิตวิทยา และสุขภาพ ที่ผู้สูงอายุในตำบลชะมาบมี โดยเน้นย้ำบทบาทขององค์การบริหารส่วนตำบลชะมาบในการตอบสนองความต้องการเหล่านี้ด้วยการให้บริการด้านสุขภาพ ส่งเสริมการจ้างงานและสวัสดิการ การบูรณาการชุมชน และการจัดการคุณภาพชีวิต พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการจัดสรรงบประมาณ การสร้างนโยบาย การเยี่ยมบ้าน และการแบ่งปันข้อมูลอย่างกว้างขวาง เพื่อให้มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 27","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141375238","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
อิทธิพลที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนมีต่อความสุขของประเทศ: การศึกษาจากผลสำรวจนานาชาติ อิทธิพลที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนมีต่อความสุขของประเทศ: การศึกษาจากผลสำรวจนานาชาติ
Pub Date : 2024-06-07 DOI: 10.60027/iarj.2024.275942
กัมลาศ เยาวะนิจ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: วาระแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน 2030 ที่องค์การสหประชาชาติและสมาชิกให้การรับรองเป็นความพยายามของประชาคมโลกในการกำหนดทิศทางของการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์และโลก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนายังคงเป็นเรื่องความสุขของประชาชน การวิจัยครั้งนี้เป็นผลมาจากการวิจัยเชิงปริมาณที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจะศึกษาอิทธิพลที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนมีต่อความสุขของประชาชนระเบียบวิธีการวิจัย: อาศัยข้อมูลจาก 120 ประเทศ/เขตการปกครองในการวิเคราะห์ ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้มาจากการรวบรวมขององค์การระหว่างประเทศ 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งเป็นผลจากการสำรวจความสุขของประชาชนในแต่ละประเทศซึ่งรวบรวมไว้โดยโครงการ World Happiness Report ส่วนที่สองมาจากการรวบรวมของ Sustainable Development Solution Network ผู้วิจัยใช้วิธีการวิเคราะห์ความถดถอยในการวิเคราะห์อิทธิพลที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนมีต่อความสุขของประชาชนผลการวิจัย: เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน 7 เป้าหมายร่วมกันสามารถอธิบายความเปลี่ยนแปลงของความสุขของประชาชนได้ ร้อยละ 81.5 เป้าหมายที่สามารถอธิบายความสุขของประชาชนได้ ประกอบไปด้วย เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน การบริโภคและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ งานที่เหมาะสมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ การศึกษาที่มีคุณภาพ น้ำสะอาดและสุขอนามัย ความเท่าเทียมระหว่างเพศ และความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำสรุปผล: จากข้อมูลพบว่า 81.5% ของความสุขของผู้คนมีความแตกต่างกันมาจากเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 7 ประการ ได้แก่ ความเท่าเทียมทางเพศ น้ำสะอาดและสุขาภิบาล การทำงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน การบริโภคและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ การศึกษาที่มีคุณภาพ และสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ เป้าหมายเหล่านี้มีผลกระทบอย่างมากต่อความเป็นอยู่โดยรวม และควรได้รับการจัดลำดับความสำคัญเพื่อส่งเสริมความพึงพอใจทางสังคมให้มากขึ้น
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:วาระเE12↩นาอย่างยั่งยืน 2030 ที่องค์การสประชาชาติและสมาชิกให้การรับรองเป็นความพยายามของประชาคมโลกในการกำหนดทิศาทงของการพัฒนาที่เปนประโยชนติ่อมนุษย์และลโกแต่ปฏิเสธไม่ได้วาเป้าหมายสูงสุดขงการพัฒนายังคงเป็นเรื่งความสุขของประชาชนการวิจัยครั้งนี้เป็นผลมาจาการวิจัยเชิงปริมาณที่มีวัตถปุระสงค์เพื่อจะศึกษาอิทธิพลที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนมตี่อควมาสุของประชชนาระเบียบวิธีการวิจัย:120 ประเทศ/เขตการปกครองในการวิเคราะห์ ข้อมลูที่ในการวิเทศ/เขตการปกครองในการวิเคราะห์ ข้อมลูที่ในการวิเทในการวิเคราะห์ได้มาจาการวบรวมขององค์การวิเทศ2 ส่วน ส่วนเที่หนึ่งเป็นผจาการสำรวจความสุของประชานชนในแต่ละประเทศซึ่งรวบรวมไว้โดยโครงการน世界幸福报告 ส่วนที่สองมาจากการวบรวมของ 可持续发展解决方案网络ผู้วิจัยใช้วิธีการวิเคราะ์หความถดถอยในการวิเคราะห์อิทธิพลที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนมีตอ่ความสุของประชาชนผลการวิจัย:7 เป้าหมายรวมกันสามารถอธิบายความเปลี่ยนแปลงของความสุของประชชนได้ ร้อยละ 81.5 เป้าหมายที่สามารถอธิบายควาสุของประชาชนได้ ประกอบไปด้วย เมืองแะชุมชนที่ยั่งยืน การบริโภคและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบงานที่เหมาะสมและการเติบโตทางเศรษฐกจ การศึกษาที่มีคุณภาพ น้ำสะาดและสุขอนามัย ความเท่าเทียมระหว่างเพศ และความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิติใต้น้ำสรุปผ:จากข้อมูลพบว่า 81.5% ของความสุขของผู้คนมีความแตกต่างกันมาจากเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 7 ประการ ได้แก่ ความเท่าเทียมทางเพศ น้ำสะอาดและสุขาภิบาล การทำงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เมืองและชุมชนที่ยั่งยืนการบริโภคและการผลิตอย่างมีควารมรับผิดชอบ การศึษกาที่มีคุณภาพ และสิ่งมีชีวิตใ้ตน้ำเป็นอยู่โดยรวม และควได้รับการจัดลำดับความสำคัญเพอือส่งเสริมความพึงพอใจทางสัคมให้มากขึน
{"title":"อิทธิพลที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนมีต่อความสุขของประเทศ: การศึกษาจากผลสำรวจนานาชาติ","authors":"กัมลาศ เยาวะนิจ","doi":"10.60027/iarj.2024.275942","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275942","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: วาระแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน 2030 ที่องค์การสหประชาชาติและสมาชิกให้การรับรองเป็นความพยายามของประชาคมโลกในการกำหนดทิศทางของการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์และโลก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนายังคงเป็นเรื่องความสุขของประชาชน การวิจัยครั้งนี้เป็นผลมาจากการวิจัยเชิงปริมาณที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจะศึกษาอิทธิพลที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนมีต่อความสุขของประชาชน\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: อาศัยข้อมูลจาก 120 ประเทศ/เขตการปกครองในการวิเคราะห์ ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้มาจากการรวบรวมขององค์การระหว่างประเทศ 2 ส่วน ส่วนที่หนึ่งเป็นผลจากการสำรวจความสุขของประชาชนในแต่ละประเทศซึ่งรวบรวมไว้โดยโครงการ World Happiness Report ส่วนที่สองมาจากการรวบรวมของ Sustainable Development Solution Network ผู้วิจัยใช้วิธีการวิเคราะห์ความถดถอยในการวิเคราะห์อิทธิพลที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนมีต่อความสุขของประชาชน\u0000ผลการวิจัย: เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน 7 เป้าหมายร่วมกันสามารถอธิบายความเปลี่ยนแปลงของความสุขของประชาชนได้ ร้อยละ 81.5 เป้าหมายที่สามารถอธิบายความสุขของประชาชนได้ ประกอบไปด้วย เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน การบริโภคและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ งานที่เหมาะสมและการเติบโตทางเศรษฐกิจ การศึกษาที่มีคุณภาพ น้ำสะอาดและสุขอนามัย ความเท่าเทียมระหว่างเพศ และความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ\u0000สรุปผล: จากข้อมูลพบว่า 81.5% ของความสุขของผู้คนมีความแตกต่างกันมาจากเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 7 ประการ ได้แก่ ความเท่าเทียมทางเพศ น้ำสะอาดและสุขาภิบาล การทำงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน การบริโภคและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ การศึกษาที่มีคุณภาพ และสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ เป้าหมายเหล่านี้มีผลกระทบอย่างมากต่อความเป็นอยู่โดยรวม และควรได้รับการจัดลำดับความสำคัญเพื่อส่งเสริมความพึงพอใจทางสังคมให้มากขึ้น","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 7","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141375675","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
มาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วม มาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วม
Pub Date : 2024-06-07 DOI: 10.60027/iarj.2024.276157
ณัฐพงศ์ แก้ววงศ์, สุวิทย์ ภาณุจารี, ภูมิภควัธจ์ ภูมพงศ์คชศร
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: มาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วมเน้นที่การจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีโดยการใช้พื้นที่เป็นฐานเป็นการเพิ่มคุณภาพของการศึกษาระบบทวิภาคีโดยการเชื่อมโยงระหว่างการจัดการอาชีวศึกษาและการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์แก่การเรียนรู้และพัฒนาทักษะอาชีพของผู้เรียน ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบมีความสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคมในท้องถิ่น การศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอมาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีโดยใช้พื้นที่เป็นฐานระเบียบวิธีการศึกษา: การศึกษาครั้นี้ดำเนินการโดยการสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วมที่เน้นการใช้พื้นที่เป็นฐาน โดยการวิเคราะห์และสรุปข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการและความเหมาะสมของพื้นที่สำหรับการศึกษา การศึกษาวิเคราะห์ความต้องการของชุมชนและผู้เรียนรวมทั้งการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งเสริมและข้อจำกัดในการใช้พื้นที่ในการเรียนรู้ผลการศึกษา: มาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องกับการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน เน้นที่การสร้างพื้นที่เพื่อการเรียนรู้และพัฒนาทักษะอาชีพของผู้เรียนอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้เกิดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคมในท้องถิ่น มีการสร้างความร่วมมือและความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรทั้งในระดับภาคีและระดับชุมชน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยการนำเสนอมาตรฐานนี้ จะช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาอาชีวศึกษาและการพัฒนาทักษะในท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของสังคมในระยะยาวสรุปผล: มาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วมจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการยกระดับคุณภาพของการศึกษาและการพัฒนาทักษะของบุคลากรในระดับทวิภาคี และมีผลต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของชุมชนและสังคมในระยะยาว
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:มาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วมเน้นที่การจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีโดยการใช้พื้นที่เป็นฐานเป็นการเพิ่มคุณภาพของการศึกษาระบบทวิภาคีโดยการเชื่อมโยงระหว่างการจัดการอาชีวศึกษาและการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์แก่การเรียนรู้และพัฒนาทักษะอาชีพของผู้เรียนทำให้เกิดการเรียนรู้แบมีความสดอคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคมในท้องถิ่นการศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอมาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีโดยใช้พื้นที่เป็นฐานระเบียบวิธีการศึกษา:เการารศึกษาครั้นี้ดำเนินารโดยการสร้างทฤษฎีเี่ยวกการจัดารอาชีวศึกษาระบทวิภาคีแบมีส่วนรมที่เน้นกรารใชพื้นที่เป็นานโดกยารวิเคราะห์และสรุปข้อมลเกี่ยวกับความต้งการและความเหมาสมของื้นที่สำหับการศึกษาการศึกษาวิเคราะห์ความต้องการของชุมชนและผู้เรียนรวมทั้งการสำรจวขอ้มยที่ยวกับปัจัยที่ยสเงสริมและ้อจำกัดในการใช้พื้นที่ในการเรียนรู้ผการศึกษา:มาตรฐานการจัดารอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบมีส่ยวมเกี่ยขว้องกับการจัดารอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีโดยใชพื้นที่เป็นฐานเด็กลาระเE12↩นาทักษะาชีพของผู้เรียนางเต็มประสิทธิภาพมีการสร้างความร่วมออืและความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรทั้งในระดับภาคีและระดับชุมชนเพือใหเดียนรู้และการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนโดยการนำเสนอมาตรฐานี้ จะช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาอาชีวศ↩ึกษาและการพัฒนาทักษะในท้องถิ่นยอ่างมปีระสิทธิภาพและตอบสนงต่อความต้องการของสังคมในระยะยาวสรุปผล:และมีผลต่อการพัฒนาย่ายั่งยืนขงชุมชนและสังคมในระยะยาว
{"title":"มาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วม","authors":"ณัฐพงศ์ แก้ววงศ์, สุวิทย์ ภาณุจารี, ภูมิภควัธจ์ ภูมพงศ์คชศร","doi":"10.60027/iarj.2024.276157","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276157","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: มาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วมเน้นที่การจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีโดยการใช้พื้นที่เป็นฐานเป็นการเพิ่มคุณภาพของการศึกษาระบบทวิภาคีโดยการเชื่อมโยงระหว่างการจัดการอาชีวศึกษาและการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์แก่การเรียนรู้และพัฒนาทักษะอาชีพของผู้เรียน ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบมีความสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคมในท้องถิ่น การศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอมาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน\u0000ระเบียบวิธีการศึกษา: การศึกษาครั้นี้ดำเนินการโดยการสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วมที่เน้นการใช้พื้นที่เป็นฐาน โดยการวิเคราะห์และสรุปข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการและความเหมาะสมของพื้นที่สำหรับการศึกษา การศึกษาวิเคราะห์ความต้องการของชุมชนและผู้เรียนรวมทั้งการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งเสริมและข้อจำกัดในการใช้พื้นที่ในการเรียนรู้\u0000ผลการศึกษา: มาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องกับการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน เน้นที่การสร้างพื้นที่เพื่อการเรียนรู้และพัฒนาทักษะอาชีพของผู้เรียนอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้เกิดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคมในท้องถิ่น มีการสร้างความร่วมมือและความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรทั้งในระดับภาคีและระดับชุมชน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยการนำเสนอมาตรฐานนี้ จะช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาอาชีวศึกษาและการพัฒนาทักษะในท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของสังคมในระยะยาว\u0000สรุปผล: มาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีแบบมีส่วนร่วมจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการยกระดับคุณภาพของการศึกษาและการพัฒนาทักษะของบุคลากรในระดับทวิภาคี และมีผลต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของชุมชนและสังคมในระยะยาว","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 6","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141371300","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
ต้นแบบมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น: กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม ต้นแบบมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น: กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม
Pub Date : 2024-06-07 DOI: 10.60027/iarj.2024.275855
วิษณุ บาคาล, วุฒิกร เดชกวินเลิศ, ภาคิน เจริญนนทสิทธิ์, กริช สินธุศิริ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปัจจุบันมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการบริการสาธารณะระดับท้องถิ่น ทั้งในด้านการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น สวัสดิการสังคม การคุ้มครองและความมั่นคงทางการค้าในท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างรากฐานการพัฒนาประเทศและขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้าตามนโยบายของรัฐบาล  การวิจัยนี้มีวัตถุประสงเพื่อ  1) เพื่อศึกษา แนวคิด หลักการที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น 2) เพื่อศึกษาปัญหาการคุ้มครองสิทธิสำหรับผู้ที่ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่ปัจจุบัน 3) เพื่อวิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น 4) เพื่อจัดทำต้นแบบมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่นระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก คือ กลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคามจำนวน 4 คน กลุ่มนักกฎหมายและนักวิชาการจำนวน 4 คน กลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานด้านการดำเนินการทางวินัยพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 4 คน กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทั้งภาครัฐ เอกชนและภาคประชาชนจำนวน 4 คน และการสนทนากลุ่มเจาะจง โดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน คือ กลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม กลุ่มนักกฎหมายและนักวิชาการ กลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานด้านการดำเนินการทางวินัยพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทั้งภาครัฐ เอกชนและภาคประชาชน โดยวิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจงผลการวิจัย: (1) แนวคิด ทฤษฎี และหลักการที่จะต้องคำนึงถึงและนำมาประกอบการวิเคราะห์ ได้แก่ แนวความคิดเกี่ยวกับการควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ แนวความคิดเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยเจ้าหน้าที่ของรัฐ หลักนิติรัฐ หลักการแบ่งแยกอำนาจ หลักการประกันสิทธิขั้นพื้นฐาน หลักการประกันคุ้มครองสิทธิในทางศาล หลักความชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายตุลาการ หลักความเป็นอิสระของผู้พิพากษา หลักนิติธรรมและหลักความเสมอภาค (2) ปัจจุบันการพิจารณาในการสอบสวนข้อเท็จจริงไปจนถึงการลงโทษทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น ยังไม่ปรากฎแนวทางที่ชัดเจนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่แสดงออกถึงการให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น (3) หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิกเฉยต่อปัญหานี้ก็จะเกิดผลกระทบต่อการพัฒนาการทำงานและแรงจูงใจหรือขวัญกำลังใจของพนักงานส่วนท้องถิ่น รวมทั้งประสิทธิภาพของการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งทางตรงและทางอ้อม และ (4) ร่างมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ..... ประกอบด้วยบทบัญญัติ จำนวน 47 มาตรา แบ่งออกเป็น 4 หมวด ดังนี้ หมวด 1 นิยามศัพท์ หมวด 2 คณะกรรมการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น  หมวด 3 อำนาจหน้าที่ หมวด 4 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่นสรุปผล: ผลการศึกษาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรวมแนวคิดต่างๆ เช่น การรักษาหลักนิติธรรม การควบคุมอำนาจรัฐ และการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐาน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จำเป็นสำหรับกระบวนการทางวินัยเท่านั้น นอกจากจะเป็นอันตรายต่อประสิทธิผลขององค์กรแล้ว การไม่คำนึงถึงสิทธ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปัจจุบันมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการบริการสาธารณะระดับท้องถิ่น ทั้งในด้านการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น สวัสดิการสังคมการคุ้มครองและความมั่นคงทางการค้าในท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างรากฐานการพัฒนาประเทศและขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้าตามนโยบายของรัฐบาล การวิจัยนี้มีวัตถุประสงเพื่อ 1) เพื่อศึกษา แนวคิดเด็การที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนังกานส่วนท้องถิ่น 2)เพือศึกษาปัญหาการุ้มครองสิทธิสำหรับผู้ที่ถูดำเนินการทางวินัยของพันที่นที่มียู่ปัจจุบัน 3)เพือวิเคราะห์มาตรากรทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัขยองพนักงนสิท้องถิน 4)เพื่อจัดทำต้นแบบมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่นระเบียบวิธีการวิจัย:การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก คือ กลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคามจำนวน 4 คนกลุ่มนักกฎหมายและนักวิชาการจำนวน 4 คน กลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานด้านการดำเนินการทางวินัยพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 4 คน กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทั้งภาครัฐ เอกชนและภาคประชาชนจำนวน4 คน และการสนทนากลุ่มเจาะจง โดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน คือ กลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม กลุ่มนักกฎหมายและนักวิชาการกลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานด้านการดำเนินการทางวินัยพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทั้งภาครัฐ เอกชนและภาคประชาชน โดยวิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจงผลการวิจัย:(1) แนวคิด ทฤษฎี และหาลักการที่จะต้องคำนึงถึงและนำมาประกบารวิเคราะห์ ได้แก่ แนวความคิดเกี่ยวับการควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ↩แนวคามคิดเกี่ยวกับารดำเนินการทางวินัยเจ้าหน้าที่อขงรัฐ หลักนิติรัฐ หลักการแบ่งแยกอำนาจ หลักการประกันสิทธิขัน้พืน้ฐานหาลัการประกันคุ้มครองสิทธิในทางศาล หาลักความชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายตุลาการหาลักความเป็นอิสระของผู้พิพากษา(2) ปัจุบันการพิจารณาในการสอบสวนข้อเทจจริงไปจนถ↩ึงการลงโทษทางวินัยอขงพนักงนาส่วนท้องถิ่นยังไมปรากฎแนวทางที่ชัดเจนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่แสดงอกถึงการให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนังกาสสินท้องถิ่น(3) เด็กเE09↩ยต่อปัญหานี้กจ็ะเกิดผลกระทบต่อการพัฒนาการทำงานและรงจูงใจหรือขวัญกำลังใจอขงพนักงนาสส่วนท้องถิ่นรวมทั้งประสิทธิภาพของการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งทางตรงและทางอ้อม และ (4) ร่างมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ.....ประกอบด้วยบทบัญญัติ จำนวน 47 มาตรา แบ่งอกเป็น 4 หมวด ดังนี้ หมวด 1 นิยามศัพท์ หมวด 2 คณะกรรมการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวนัยของพนักงานสิ่วนท้องถิ่น หมวด 3 อำนาจหนาที่ หมวด 4 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงนาส่วนท้องถิ่นสรุปผล:ผลการศึกษาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรวมแนวคิดต่างๆ เช่น การรักษาหลักนิติธรรม การควบคุมอำนาจรัฐ และการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐาน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จำเป็นสำหรับกระบวนการทางวินัยเท่านั้นนอกจากจะเป็นอันตรายต่อประสิทธิผลอขงงค์กรแล้ว การไม่คำนึงถึงสิทธิของพนักงานในท้องถิ่นยังทำใหข้วัญกลำงใจดลง ซึ่งเป็นอุสปรคต่อการเติบโตของการดำเนินงานของรัฐบารท้องถิน
{"title":"ต้นแบบมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น: กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม","authors":"วิษณุ บาคาล, วุฒิกร เดชกวินเลิศ, ภาคิน เจริญนนทสิทธิ์, กริช สินธุศิริ","doi":"10.60027/iarj.2024.275855","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275855","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปัจจุบันมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการบริการสาธารณะระดับท้องถิ่น ทั้งในด้านการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น สวัสดิการสังคม การคุ้มครองและความมั่นคงทางการค้าในท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างรากฐานการพัฒนาประเทศและขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวหน้าตามนโยบายของรัฐบาล  การวิจัยนี้มีวัตถุประสงเพื่อ  1) เพื่อศึกษา แนวคิด หลักการที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น 2) เพื่อศึกษาปัญหาการคุ้มครองสิทธิสำหรับผู้ที่ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่ปัจจุบัน 3) เพื่อวิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น 4) เพื่อจัดทำต้นแบบมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก คือ กลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคามจำนวน 4 คน กลุ่มนักกฎหมายและนักวิชาการจำนวน 4 คน กลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานด้านการดำเนินการทางวินัยพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 4 คน กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทั้งภาครัฐ เอกชนและภาคประชาชนจำนวน 4 คน และการสนทนากลุ่มเจาะจง โดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คน คือ กลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม กลุ่มนักกฎหมายและนักวิชาการ กลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานด้านการดำเนินการทางวินัยพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียทั้งภาครัฐ เอกชนและภาคประชาชน โดยวิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง\u0000ผลการวิจัย: (1) แนวคิด ทฤษฎี และหลักการที่จะต้องคำนึงถึงและนำมาประกอบการวิเคราะห์ ได้แก่ แนวความคิดเกี่ยวกับการควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ แนวความคิดเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยเจ้าหน้าที่ของรัฐ หลักนิติรัฐ หลักการแบ่งแยกอำนาจ หลักการประกันสิทธิขั้นพื้นฐาน หลักการประกันคุ้มครองสิทธิในทางศาล หลักความชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายตุลาการ หลักความเป็นอิสระของผู้พิพากษา หลักนิติธรรมและหลักความเสมอภาค (2) ปัจจุบันการพิจารณาในการสอบสวนข้อเท็จจริงไปจนถึงการลงโทษทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น ยังไม่ปรากฎแนวทางที่ชัดเจนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่แสดงออกถึงการให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น (3) หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิกเฉยต่อปัญหานี้ก็จะเกิดผลกระทบต่อการพัฒนาการทำงานและแรงจูงใจหรือขวัญกำลังใจของพนักงานส่วนท้องถิ่น รวมทั้งประสิทธิภาพของการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งทางตรงและทางอ้อม และ (4) ร่างมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ..... ประกอบด้วยบทบัญญัติ จำนวน 47 มาตรา แบ่งออกเป็น 4 หมวด ดังนี้ หมวด 1 นิยามศัพท์ หมวด 2 คณะกรรมการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น  หมวด 3 อำนาจหน้าที่ หมวด 4 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกดำเนินการทางวินัยของพนักงานส่วนท้องถิ่น\u0000สรุปผล: ผลการศึกษาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรวมแนวคิดต่างๆ เช่น การรักษาหลักนิติธรรม การควบคุมอำนาจรัฐ และการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐาน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จำเป็นสำหรับกระบวนการทางวินัยเท่านั้น นอกจากจะเป็นอันตรายต่อประสิทธิผลขององค์กรแล้ว การไม่คำนึงถึงสิทธ","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 14","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141374424","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การศึกษาและพัฒนาสมรรถนะการบริการของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน สายการบินต้นทุนต่ำ การศึกษาและพัฒนาสมรรถนะการบริการของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน สายการบินต้นทุนต่ำ
Pub Date : 2024-06-07 DOI: 10.60027/iarj.2024.276000
ธวัช เลาหอรุโณทัย, ชิตพงษ์ อัยสานนท์
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การบริการที่มีคุณภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจการบิน โดยเฉพาะสายการบินต้นทุนต่ำที่ให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทุน แต่ต้องรักษามาตรฐานการบริการที่ดีไว้ด้วย ดังนั้น สมรรถนะการบริการของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ควรได้รับการศึกษา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสมรรถนะการบริการของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน สายการบินต้นทุนต่ำ 2) เพื่อศึกษาความแตกต่างระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและสมรรถนะการบริการของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน สายการบินต้นทุนต่ำระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ค่า IOC เท่ากับ 0.62 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.974 กลุ่มตัวอย่างคือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินไทยแอร์เอเชีย และสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ จำนวน 333 คน โดยสุ่มแบบแบ่งชั้น การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ t-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA)ผลการวิจัย: 1) ในภาพรวมพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินต้นทุนต่ำมีสมรรถนะการบริการอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านทักษะการบริหาร/จัดการและเทคนิคเฉพาะงาน 2) ปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน และประสบการณ์ทำงานมีความแตกต่างกับสมรรถนะการบริการของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่ด้านเพศไม่มีความแตกต่างสรุปผล: กลุ่มตัวอย่าง 333 พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินต้นทุนต่ำ ส่วนใหญ่เพศหญิง อายุ 25-34 ปี การศึกษาปริญญาตรี ประสบการณ์ 5-7 ปี สมรรถนะการบริการอยู่ในระดับมากที่สุด (4.39) สูงสุดด้านทักษะการบริหาร/จัดการและเทคนิคเฉพาะงาน (4.42) อายุ การศึกษา ตำแหน่ง และประสบการณ์ส่งผลต่อสมรรถนะการบริการอย่างมีนัยสำคัญ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:การบริการที่มีคุณภาพเป็นปจัยสำคัญที่ส่งผลต่คอวาสมำเร็จของธรุกจิการบิน โดยเฉพาะสายการบินต้นทนตุ่ำที่ให้ความสำคัญกับารคบวคุมต้นทุนแมติลงรักษามาตรฐานการบริการที่ดีไว้ด้วย ดังนั้น สมรรถนะการบริการของพนักงานต้อนรับนเครื่องบิจนึงเป็นประเด็นสำคัญที่ควรศึกษา1) เพื่อศึกษาระดับความคิเดียวกับสมรรถนะการบริการของพนักงานต้นอรับนเครื่องบิน สายการบินต้นอรัมคิเดียวกับสมรถนะการบริการของพนักงานต้นอรับนเครื่องบิน สายการบินต้นทุนต่2) เพือศึษาความแตกต่างหาระจัยจัยส่วบุคเอละสมรรถนะการบริการของพนักงต้อนรับนเรืองบิน สายการบินต้นทุนต่ำระเบียบวิธีการวิจัย:การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบสอบถามเป็นเครื่องมอืในการเก็บข้อมูล ค่า ioc เท่ากับ 0.62 ค่าความเชือมั่นเท่ากับ 0.974 กลุ่มตัวอย่างคือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินไทยแอร์เอเชีย แะลสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ จำนวน 333 คน โดยสุ่มแบบบ่งชั้นมติเชิงพรรณน เด้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมตารฐาน และสถิติเชิงอนุมาน เด้แก่ t-检验(单向方差分析):1) เE43↩นภาพรวมพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินต้นทุนต่ำมีสมรรถนะการบริการอยู่ในระดับมากที่สุ ด โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านทักะษการบริหาร/จัดการและเทคนิคเฉพาะงาน 2)ปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน และประสบการณ์ทำงานมีความแตกต่างกับสมรรถนะการบริการของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่ด้านเพศไม่มีความแตกต่างสรุปผล:333 พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินต้นทุนต่ำ ส่วนใหญ่เพศหญิง อายุ 25-34 ปี การศึกษาปริญญาตรี ประสบการณ์ 5-7 ปี สมรรถนะารบริการอยู่ในระดับมากที่สุด (4.39) สูงสุด้านทักษะการบริหาร/จัดการและเทคนิคเฉพาะงาน (4.42) อายุ การศึกษา ตำแหน่ง และประสบการณ์ส่งผต่อหมรรถนการบริการอย่างมีนัยสำคัญ
{"title":"การศึกษาและพัฒนาสมรรถนะการบริการของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน สายการบินต้นทุนต่ำ","authors":"ธวัช เลาหอรุโณทัย, ชิตพงษ์ อัยสานนท์","doi":"10.60027/iarj.2024.276000","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276000","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การบริการที่มีคุณภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจการบิน โดยเฉพาะสายการบินต้นทุนต่ำที่ให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทุน แต่ต้องรักษามาตรฐานการบริการที่ดีไว้ด้วย ดังนั้น สมรรถนะการบริการของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ควรได้รับการศึกษา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสมรรถนะการบริการของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน สายการบินต้นทุนต่ำ 2) เพื่อศึกษาความแตกต่างระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและสมรรถนะการบริการของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน สายการบินต้นทุนต่ำ\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ค่า IOC เท่ากับ 0.62 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.974 กลุ่มตัวอย่างคือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินไทยแอร์เอเชีย และสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ จำนวน 333 คน โดยสุ่มแบบแบ่งชั้น การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ t-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA)\u0000ผลการวิจัย: 1) ในภาพรวมพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินต้นทุนต่ำมีสมรรถนะการบริการอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านทักษะการบริหาร/จัดการและเทคนิคเฉพาะงาน 2) ปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน และประสบการณ์ทำงานมีความแตกต่างกับสมรรถนะการบริการของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่ด้านเพศไม่มีความแตกต่าง\u0000สรุปผล: กลุ่มตัวอย่าง 333 พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินต้นทุนต่ำ ส่วนใหญ่เพศหญิง อายุ 25-34 ปี การศึกษาปริญญาตรี ประสบการณ์ 5-7 ปี สมรรถนะการบริการอยู่ในระดับมากที่สุด (4.39) สูงสุดด้านทักษะการบริหาร/จัดการและเทคนิคเฉพาะงาน (4.42) อายุ การศึกษา ตำแหน่ง และประสบการณ์ส่งผลต่อสมรรถนะการบริการอย่างมีนัยสำคัญ","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":" 1","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-06-07","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141371784","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
期刊
Interdisciplinary Academic and Research Journal
全部 Acc. Chem. Res. ACS Applied Bio Materials ACS Appl. Electron. Mater. ACS Appl. Energy Mater. ACS Appl. Mater. Interfaces ACS Appl. Nano Mater. ACS Appl. Polym. Mater. ACS BIOMATER-SCI ENG ACS Catal. ACS Cent. Sci. ACS Chem. Biol. ACS Chemical Health & Safety ACS Chem. Neurosci. ACS Comb. Sci. ACS Earth Space Chem. ACS Energy Lett. ACS Infect. Dis. ACS Macro Lett. ACS Mater. Lett. ACS Med. Chem. Lett. ACS Nano ACS Omega ACS Photonics ACS Sens. ACS Sustainable Chem. Eng. ACS Synth. Biol. Anal. Chem. BIOCHEMISTRY-US Bioconjugate Chem. BIOMACROMOLECULES Chem. Res. Toxicol. Chem. Rev. Chem. Mater. CRYST GROWTH DES ENERG FUEL Environ. Sci. Technol. Environ. Sci. Technol. Lett. Eur. J. Inorg. Chem. IND ENG CHEM RES Inorg. Chem. J. Agric. Food. Chem. J. Chem. Eng. Data J. Chem. Educ. J. Chem. Inf. Model. J. Chem. Theory Comput. J. Med. Chem. J. Nat. Prod. J PROTEOME RES J. Am. Chem. Soc. LANGMUIR MACROMOLECULES Mol. Pharmaceutics Nano Lett. Org. Lett. ORG PROCESS RES DEV ORGANOMETALLICS J. Org. Chem. J. Phys. Chem. J. Phys. Chem. A J. Phys. Chem. B J. Phys. Chem. C J. Phys. Chem. Lett. Analyst Anal. Methods Biomater. Sci. Catal. Sci. Technol. Chem. Commun. Chem. Soc. Rev. CHEM EDUC RES PRACT CRYSTENGCOMM Dalton Trans. Energy Environ. Sci. ENVIRON SCI-NANO ENVIRON SCI-PROC IMP ENVIRON SCI-WAT RES Faraday Discuss. Food Funct. Green Chem. Inorg. Chem. Front. Integr. Biol. J. Anal. At. Spectrom. J. Mater. Chem. A J. Mater. Chem. B J. Mater. Chem. C Lab Chip Mater. Chem. Front. Mater. Horiz. MEDCHEMCOMM Metallomics Mol. Biosyst. Mol. Syst. Des. Eng. Nanoscale Nanoscale Horiz. Nat. Prod. Rep. New J. Chem. Org. Biomol. Chem. Org. Chem. Front. PHOTOCH PHOTOBIO SCI PCCP Polym. Chem.
×
引用
GB/T 7714-2015
复制
MLA
复制
APA
复制
导出至
BibTeX EndNote RefMan NoteFirst NoteExpress
×
0
微信
客服QQ
Book学术公众号 扫码关注我们
反馈
×
意见反馈
请填写您的意见或建议
请填写您的手机或邮箱
×
提示
您的信息不完整,为了账户安全,请先补充。
现在去补充
×
提示
您因"违规操作"
具体请查看互助需知
我知道了
×
提示
现在去查看 取消
×
提示
确定
Book学术官方微信
Book学术文献互助
Book学术文献互助群
群 号:481959085
Book学术
文献互助 智能选刊 最新文献 互助须知 联系我们:info@booksci.cn
Book学术提供免费学术资源搜索服务,方便国内外学者检索中英文文献。致力于提供最便捷和优质的服务体验。
Copyright © 2023 Book学术 All rights reserved.
ghs 京公网安备 11010802042870号 京ICP备2023020795号-1