首页 > 最新文献

Suranaree Journal of Social Science最新文献

英文 中文
ความสัมพันธ์ระหว่างมิติทางบุคลิกภาพและความก้าวร้าวทางไซเบอร์: บทบาทการเป็นตัวแปรสื่อกลาง ของการติดไซเบอร์ และการเป็นตัวแปรกำกับของอารมณ์ทางจริยธรรม 人格维度和网络攻击性之间的关系:角色扮演、网络成瘾的媒介变量和道德情感的指导变量。
Pub Date : 2022-05-12 DOI: 10.55766/mhzf4416
วิไลวรรณ ศรีสงคราม
การศึกษานี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมิติทางบุคลิกภาพและความก้าวร้าวทางไซเบอร์โดยมีการติดไซเบอร์เป็นตัวแปรสื่อกลางและมีอารมณ์ทางจริยธรรมเป็นตัวแปรกำกับ  กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษา 870 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ ประกอบด้วย แบบทดสอบมิติทางบุคลิกภาพ 3 มิติ ได้แก่ ลักษณะความเป็นชาย  ลักษณะความเป็นหญิง และความหุนหันพลันแล่น  แบบวัดการติดไซเบอร์  แบบวัดความก้าวร้าวทางไซเบอร์ และแบบวัดอารมณ์ทางจริยธรรม ใช้การวิเคราะห์ตัวแปรสื่อกลางและตัวแปรกำกับด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS Process  ผลพบว่า    (1) ความสัมพันธ์ระหว่างมิติทางบุคลิกภาพและความก้าวร้าวทางไซเบอร์มีตัวแปรสื่อกลาง คือ การติดอินเทอร์เน็ตและการติดเกม  (2) ความสัมพันธ์ระหว่างความหุนหันพลันแล่นและความก้าวร้าวทางไซเบอร์ในเพศชายและเพศหญิงมีตัวแปรกำกับคือ ความรู้สึกผิด  แต่มีทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน  (3) ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะความเป็นชายและความก้าวร้าวทางไซเบอร์ มีความละอายแก่ใจเป็นตัวแปรกำกับเฉพาะในเพศหญิง  (4) ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะความเป็นหญิงและความก้าวร้าวทางไซเบอร์  มีทั้งความรู้สึกผิดและความละอายแก่ใจเป็นตัวแปรกำกับเฉพาะในเพศชาย  ผลลัพธ์เหล่านี้ได้เสนอแนะว่าความสัมพันธ์ระหว่างความหุนหันพลันแล่นและความก้าวร้าวทางไซเบอร์ของเพศหญิงจะลดลงได้เมื่อมีการกำกับจากความรู้สึกผิด  นอกจากนี้  ลักษณะความเป็นหญิงยังเป็นตัวหน่วงเหนี่ยวทั้งการติดไซเบอร์และความก้าวร้าวทางไซเบอร์ได้มากกว่าอารมณ์ทางจริยธรรม  ซึ่งสะท้อนว่า  อารมณ์ทางจริยธรรมมีความสามารถที่จำกัดในการลดความก้าวร้าวทางไซเบอร์ในระหว่างเส้นทางลักษณะความเป็นชาย-ความก้าวร้าวทางไซเบอร์ และลักษณะความเป็นหญิง-ความก้าวร้าวทางไซเบอร์
该研究的目的是研究以网络成瘾为变量的人格维度和网络攻击性之间的关系。根据调查结果,调查对象包括男性、女性和冲动、网络成瘾和道德行为,使用SPSS预设变量和变量。男性化和网络攻击性之间的关系是男性化和男性化的相关变量,女性化和网络攻击性之间的关系是男性化的。此外,女性的行为更多的是网络成瘾和网络攻击性,而不是道德情感。这反映了道德情感障碍在男性-网络攻击性和女性-网络攻击性之间的能力有限。
{"title":"ความสัมพันธ์ระหว่างมิติทางบุคลิกภาพและความก้าวร้าวทางไซเบอร์: บทบาทการเป็นตัวแปรสื่อกลาง ของการติดไซเบอร์ และการเป็นตัวแปรกำกับของอารมณ์ทางจริยธรรม","authors":"วิไลวรรณ ศรีสงคราม","doi":"10.55766/mhzf4416","DOIUrl":"https://doi.org/10.55766/mhzf4416","url":null,"abstract":"การศึกษานี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมิติทางบุคลิกภาพและความก้าวร้าวทางไซเบอร์โดยมีการติดไซเบอร์เป็นตัวแปรสื่อกลางและมีอารมณ์ทางจริยธรรมเป็นตัวแปรกำกับ  กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษา 870 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ ประกอบด้วย แบบทดสอบมิติทางบุคลิกภาพ 3 มิติ ได้แก่ ลักษณะความเป็นชาย  ลักษณะความเป็นหญิง และความหุนหันพลันแล่น  แบบวัดการติดไซเบอร์  แบบวัดความก้าวร้าวทางไซเบอร์ และแบบวัดอารมณ์ทางจริยธรรม ใช้การวิเคราะห์ตัวแปรสื่อกลางและตัวแปรกำกับด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป SPSS Process  ผลพบว่า    (1) ความสัมพันธ์ระหว่างมิติทางบุคลิกภาพและความก้าวร้าวทางไซเบอร์มีตัวแปรสื่อกลาง คือ การติดอินเทอร์เน็ตและการติดเกม  (2) ความสัมพันธ์ระหว่างความหุนหันพลันแล่นและความก้าวร้าวทางไซเบอร์ในเพศชายและเพศหญิงมีตัวแปรกำกับคือ ความรู้สึกผิด  แต่มีทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน  (3) ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะความเป็นชายและความก้าวร้าวทางไซเบอร์ มีความละอายแก่ใจเป็นตัวแปรกำกับเฉพาะในเพศหญิง  (4) ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะความเป็นหญิงและความก้าวร้าวทางไซเบอร์  มีทั้งความรู้สึกผิดและความละอายแก่ใจเป็นตัวแปรกำกับเฉพาะในเพศชาย  ผลลัพธ์เหล่านี้ได้เสนอแนะว่าความสัมพันธ์ระหว่างความหุนหันพลันแล่นและความก้าวร้าวทางไซเบอร์ของเพศหญิงจะลดลงได้เมื่อมีการกำกับจากความรู้สึกผิด  นอกจากนี้  ลักษณะความเป็นหญิงยังเป็นตัวหน่วงเหนี่ยวทั้งการติดไซเบอร์และความก้าวร้าวทางไซเบอร์ได้มากกว่าอารมณ์ทางจริยธรรม  ซึ่งสะท้อนว่า  อารมณ์ทางจริยธรรมมีความสามารถที่จำกัดในการลดความก้าวร้าวทางไซเบอร์ในระหว่างเส้นทางลักษณะความเป็นชาย-ความก้าวร้าวทางไซเบอร์ และลักษณะความเป็นหญิง-ความก้าวร้าวทางไซเบอร์","PeriodicalId":145995,"journal":{"name":"Suranaree Journal of Social Science","volume":"47 1","pages":"0"},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2022-05-12","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"133821042","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพการนอนหลับของผู้สูงอายุ 影响老年人睡眠质量的因素。
Pub Date : 2022-05-09 DOI: 10.55766/wstu1754
วิทมา ธรรมเจริญ, นิทัศนีย์ เจริญงาม, ญาดาภา โชติดิลก, นิตยา ทองหนูนุ้ย
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพการนอนหลับ และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพการนอนหลับของผู้สูงอายุในอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี สุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นแบบหลายขั้น ได้ตัวอย่างผู้สูงอายุที่ใช้ในการศึกษาจำนวน 375 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน-กันยายน 2563 ค่าความตรงเชิงเนื้อหาประเมินโดยใช้ค่า IOC  ซึ่งผลการหาค่า IOC พบว่าทุกข้อมีค่าตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป แสดงว่ามีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ค่าความเชื่อมั่นประเมินโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่นมากกว่า 0.8 ดังนั้นเครื่องมือที่ใช้มีความคงเส้นคงวา วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณโดยวิธีขั้นตอน ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุมีคุณภาพการนอนหลับในระดับดี ร้อยละ 61.10 และมีคุณภาพการนอนหลับในระดับไม่ดี ร้อยละ 39.90 ตามลำดับ จากการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน พบว่า ปัจจัยด้านการใช้ยานอนหลับ ด้านภาวะซึมเศร้า ด้านจิตใจและอารมณ์ (ความเครียด) ด้านแหล่งที่มาของรายได้ มาจากญาติพี่น้อง การดื่มสุรา และด้านประวัติการป่วยทางจิตเวชในครอบครัว ร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของคุณภาพการนอนหลับของผู้สูงอายุในอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ได้ร้อยละ 23.60 (R square) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
这项研究的目的是研究停留在Chanthaburi省的老年人的睡眠质量和影响因素。这项研究的对象是375名年龄在6月到9月之间的老年人。结果表明,老年人的睡眠质量良好,61.10%,睡眠质量差。这一比例为39.90。多相回归分析发现,家庭收入来源、酗酒和精神病史的收入来源在Chanthaburi省的新巴省有23.60%的老年人睡眠质量变化,显著性显著,为0.05。
{"title":"ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพการนอนหลับของผู้สูงอายุ","authors":"วิทมา ธรรมเจริญ, นิทัศนีย์ เจริญงาม, ญาดาภา โชติดิลก, นิตยา ทองหนูนุ้ย","doi":"10.55766/wstu1754","DOIUrl":"https://doi.org/10.55766/wstu1754","url":null,"abstract":"การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพการนอนหลับ และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพการนอนหลับของผู้สูงอายุในอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี สุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นแบบหลายขั้น ได้ตัวอย่างผู้สูงอายุที่ใช้ในการศึกษาจำนวน 375 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน-กันยายน 2563 ค่าความตรงเชิงเนื้อหาประเมินโดยใช้ค่า IOC  ซึ่งผลการหาค่า IOC พบว่าทุกข้อมีค่าตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป แสดงว่ามีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ค่าความเชื่อมั่นประเมินโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่นมากกว่า 0.8 ดังนั้นเครื่องมือที่ใช้มีความคงเส้นคงวา วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณโดยวิธีขั้นตอน ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุมีคุณภาพการนอนหลับในระดับดี ร้อยละ 61.10 และมีคุณภาพการนอนหลับในระดับไม่ดี ร้อยละ 39.90 ตามลำดับ จากการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน พบว่า ปัจจัยด้านการใช้ยานอนหลับ ด้านภาวะซึมเศร้า ด้านจิตใจและอารมณ์ (ความเครียด) ด้านแหล่งที่มาของรายได้ มาจากญาติพี่น้อง การดื่มสุรา และด้านประวัติการป่วยทางจิตเวชในครอบครัว ร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของคุณภาพการนอนหลับของผู้สูงอายุในอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ได้ร้อยละ 23.60 (R square) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05","PeriodicalId":145995,"journal":{"name":"Suranaree Journal of Social Science","volume":"33 1","pages":"0"},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2022-05-09","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"123537390","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การวิเคราะห์ความไม่เท่าเทียมของการถือครองที่ดินทำการเกษตรกับความสัมพันธ์ของจำนวนสมาชิก และรายได้ครัวเรือน บ้านห้วยปูน้อย อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ 对农业土地所有权的不平等与家庭成员数量和收入的关系进行了分析。
Pub Date : 2022-05-09 DOI: 10.55766/bshu1036
สืบพงษ์ พงษ์สวัสดิ์, จารุณี ภัทรวงษ์ธนา, ธรรมพร หาญผจญศึก
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจขอบเขตการถือครองที่ดินและจัดทำฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ 2) วิเคราะห์ความไม่เท่าเทียมของการถือครองที่ดินและรายได้ของครัวเรือน และ 3) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเนื้อที่ถือครองที่ดินกับจำนวนสมาชิกในครัวเรือนและรายได้ของครัวเรือน ประชากรในการศึกษาครั้งนี้ได้เจาะจงศึกษาครัวเรือนเกษตรกรทั้งหมด 19 ครัวเรือนของบ้านห้วยปูน้อย ตำบลยางเปียง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้แผนที่ข้อมูลดาวเทียมรายละเอียดสูงเป็นเครื่องมือ ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรมีความเข้าใจแผนที่ข้อมูลดาวเทียมรายละเอียดสูง สามารถเชื่อมโยงกับพื้นที่จริง ทำให้ลากขอบเขตแปลงที่ดินของเกษตรกรได้ จากการวิเคราะห์ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์พบว่าพื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมด 1,757.54 ไร่ แบ่งเป็นแปลงถือครองทั้งหมด 92 แปลง ถือครองโดยเกษตรกร 17 ครัวเรือน โดยมี 2 ครัวเรือนที่ไม่มีพื้นที่ทำกิน แปลงที่ดินถือครองแต่ละแปลงมีเนื้อที่รวมเฉลี่ย 13.33 ไร่ และแต่ละครัวเรือนมีแปลงถือครองโดยเฉลี่ย 5 แปลง ความไม่เท่าเทียมของรายได้มีค่าสัมประสิทธิ์จีนี 0.38 และ 0.73 และการถือครองที่ดินกระจุกตัวอยู่ในบางครัวเรือน เนื้อที่ถือครองกับจำนวนสมาชิกในครัวเรือนมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน (r = 0.54)โดยเนื้อที่ถือครองเป็นผลมาจากจำนวนสมาชิกในครัวเรือนเพียงร้อยละ 29 ( r2= 0.29). ส่วนเนื้อที่ถือครองกับรายได้ครัวเรือนมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน ( r=0.07) โดยเนื้อที่ถือครองเป็นผลมาจากรายได้ของครัวเรือนเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น  (r2  = 0.01).
研究的目的是:1)调查土地占有的范围,建立一个地理信息系统数据库;2)分析土地占有和家庭收入的不平等;3)分析土地占有与家庭成员数量和家庭收入的关系。通过使用高分辨率卫星数据地图作为工具,研究结果表明,农民对高分辨率卫星数据地图的理解可以与实际区域相关联,从而拖动农民土地转换。通过对地理信息系统的分析,农业面积为1377.54公顷,其中92公顷由17户农民拥有。5 .收入不平等系数分别为0.38和0.73 .在一些家庭中,土地拥有量与家庭成员数量呈负相关(r = 0.54),而土地拥有量与家庭成员数量呈负相关(r = 0.29)。肉只占家庭收入的1%。t (r / 2) = 0.01。
{"title":"การวิเคราะห์ความไม่เท่าเทียมของการถือครองที่ดินทำการเกษตรกับความสัมพันธ์ของจำนวนสมาชิก และรายได้ครัวเรือน บ้านห้วยปูน้อย อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่","authors":"สืบพงษ์ พงษ์สวัสดิ์, จารุณี ภัทรวงษ์ธนา, ธรรมพร หาญผจญศึก","doi":"10.55766/bshu1036","DOIUrl":"https://doi.org/10.55766/bshu1036","url":null,"abstract":"การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจขอบเขตการถือครองที่ดินและจัดทำฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ 2) วิเคราะห์ความไม่เท่าเทียมของการถือครองที่ดินและรายได้ของครัวเรือน และ 3) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเนื้อที่ถือครองที่ดินกับจำนวนสมาชิกในครัวเรือนและรายได้ของครัวเรือน ประชากรในการศึกษาครั้งนี้ได้เจาะจงศึกษาครัวเรือนเกษตรกรทั้งหมด 19 ครัวเรือนของบ้านห้วยปูน้อย ตำบลยางเปียง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้แผนที่ข้อมูลดาวเทียมรายละเอียดสูงเป็นเครื่องมือ ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรมีความเข้าใจแผนที่ข้อมูลดาวเทียมรายละเอียดสูง สามารถเชื่อมโยงกับพื้นที่จริง ทำให้ลากขอบเขตแปลงที่ดินของเกษตรกรได้ จากการวิเคราะห์ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์พบว่าพื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมด 1,757.54 ไร่ แบ่งเป็นแปลงถือครองทั้งหมด 92 แปลง ถือครองโดยเกษตรกร 17 ครัวเรือน โดยมี 2 ครัวเรือนที่ไม่มีพื้นที่ทำกิน แปลงที่ดินถือครองแต่ละแปลงมีเนื้อที่รวมเฉลี่ย 13.33 ไร่ และแต่ละครัวเรือนมีแปลงถือครองโดยเฉลี่ย 5 แปลง ความไม่เท่าเทียมของรายได้มีค่าสัมประสิทธิ์จีนี 0.38 และ 0.73 และการถือครองที่ดินกระจุกตัวอยู่ในบางครัวเรือน เนื้อที่ถือครองกับจำนวนสมาชิกในครัวเรือนมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน (r = 0.54)โดยเนื้อที่ถือครองเป็นผลมาจากจำนวนสมาชิกในครัวเรือนเพียงร้อยละ 29 ( r2= 0.29). ส่วนเนื้อที่ถือครองกับรายได้ครัวเรือนมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน ( r=0.07) โดยเนื้อที่ถือครองเป็นผลมาจากรายได้ของครัวเรือนเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น  (r2  = 0.01).","PeriodicalId":145995,"journal":{"name":"Suranaree Journal of Social Science","volume":"55 1","pages":"0"},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2022-05-09","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"121798914","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
กระบวนการแก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนจังหวัดสระแก้ว สังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 解决不识字问题的过程是由泰国边境警察司令部(12号边境警察总部)领导的。
Pub Date : 2022-04-21 DOI: 10.55766/hlwv1241
วัชรภัทร เตชะวัฒนศิริดำรง
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการดำเนินงานการส่งเสริมการอ่านออกเขียนได้ 2) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเขียนได้ และ 3) นำเสนอแนวทางการสอนการอ่านออกเขียนได้ มีขั้นตอนการดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพการดำเนินงานการส่งเสริมการอ่านออกเขียนได้ โดยการสอบถามความคิดเห็นของผู้อำนวยการโรงเรียนและครูวิชาภาษาไทย จำนวน 20 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง พบว่า สภาพการดำเนินงานการส่งเสริมการอ่านออกเขียนได้ ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนาและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเขียนได้กับ นักเรียน จำนวน 36 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบอย่างเป็นระบบ  พบว่า ได้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเขียนได้ จำนวน 3 ชุด มีส่วนประกอบ ได้แก่ คำชี้แจงสำหรับครู คำชี้แจงสำหรับนักเรียน เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้และแบบทดสอบ ส่วนประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะสูงกว่าเกณณ์ที่กำหนด 80/80 และนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ขั้นตอนที่ 3 การนำเสนอแนวทางการสอนการอ่านออกเขียนได้ พบว่า 1) ครูควรเน้นย้ำเรื่องสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ ก่อนสอนให้นักเรียนอ่านเขียน 2) ควรมีการอบรมให้ความรู้แก่ครูในการสร้างสื่อที่เหมาะสมกับการสอนการอ่านและการเขียน และ3) ครูควรจัดโครงการพัฒนาทักษะการอ่านเขียนให้แก่ผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง
本研究的目的是:1)研究促进读写能力的实施情况;2)发展和优化读写能力练习;3)提出读写能力教学。有三个研究阶段:第一阶段、教育条件、促进读写。通过随机选择的方法,发现推广读写能力的操作条件一般。第二步,提高和优化36名学生的读写能力。通过系统随机抽样,发现有三种类型的读写能力训练,包括老师的说明、学生的陈述、学习活动和测试。第三步:提出可读、可写的教学方法。发现1)教师应强调应用辅音。2)教师应定期为学生进行阅读和写作教学,并应定期组织学生进行阅读和写作技能培养。
{"title":"กระบวนการแก้ปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนจังหวัดสระแก้ว สังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12","authors":"วัชรภัทร เตชะวัฒนศิริดำรง","doi":"10.55766/hlwv1241","DOIUrl":"https://doi.org/10.55766/hlwv1241","url":null,"abstract":"การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการดำเนินงานการส่งเสริมการอ่านออกเขียนได้ 2) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเขียนได้ และ 3) นำเสนอแนวทางการสอนการอ่านออกเขียนได้ มีขั้นตอนการดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพการดำเนินงานการส่งเสริมการอ่านออกเขียนได้ โดยการสอบถามความคิดเห็นของผู้อำนวยการโรงเรียนและครูวิชาภาษาไทย จำนวน 20 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง พบว่า สภาพการดำเนินงานการส่งเสริมการอ่านออกเขียนได้ ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนาและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านออกเขียนได้กับ นักเรียน จำนวน 36 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบอย่างเป็นระบบ  พบว่า ได้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเขียนได้ จำนวน 3 ชุด มีส่วนประกอบ ได้แก่ คำชี้แจงสำหรับครู คำชี้แจงสำหรับนักเรียน เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้และแบบทดสอบ ส่วนประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะสูงกว่าเกณณ์ที่กำหนด 80/80 และนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ขั้นตอนที่ 3 การนำเสนอแนวทางการสอนการอ่านออกเขียนได้ พบว่า 1) ครูควรเน้นย้ำเรื่องสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ ก่อนสอนให้นักเรียนอ่านเขียน 2) ควรมีการอบรมให้ความรู้แก่ครูในการสร้างสื่อที่เหมาะสมกับการสอนการอ่านและการเขียน และ3) ครูควรจัดโครงการพัฒนาทักษะการอ่านเขียนให้แก่ผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง","PeriodicalId":145995,"journal":{"name":"Suranaree Journal of Social Science","volume":"1 1","pages":"0"},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2022-04-21","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"125864522","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การถอดองค์ความรู้ซ่อนเร้นการเพาะเลี้ยงไรแดงด้วยคลอเรลล่า: กรณีศึกษาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช 隐藏的知识提取与小球藻养殖:农业和技术学院案例
Pub Date : 2022-04-08 DOI: 10.55766/zchp1563
เกตุมณี ศรีอินทร์, อติรัฐ มากสุวรรณ์
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อถอดองค์ความรู้ที่ซ่อนเร้นการเพาะเลี้ยงไรแดงด้วยคลอเรลล่าของเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงไรแดงของอำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อศึกษาความหนาแน่นของคลอเรลล่า และระยะเวลาที่เหมาะสมของการเพาะเลี้ยงไรแดงจากองค์ความรู้ที่ซ่อนเร้นดังกล่าว ใช้การวิจัยแบบผสมผสานเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยเริ่มจากการถอดองค์ความรู้ที่ซ่อนเร้นของเกษตรกรด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบลูกบอลหิมะ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก ตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า แล้วทดสอบเพื่อยืนยันองค์ความรู้ที่ซ่อนเร้นของเกษตรกรด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ วิเคราะห์ความแปรปรวน และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างทรีทเมนต์ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ผลการวิจัยพบว่าคลอเรลล่ามีศักยภาพในการผลิตไรแดง เกษตรกรเพาะเลี้ยงคลอเรลล่าโดยการละลายวัสดุอาหารด้วยหัวเชื้อน้ำเขียวให้ได้ระดับน้ำ 10-20 เซนติเมตร และให้อากาศในวันแรก วันที่ 2 กวนน้ำช่วงเช้าและเย็น วันที่ 3 เติมน้ำสะอาดให้ได้ระดับน้ำ 50 เซนติเมตร วันที่ 4 เติมหัวเชื้อไรแดง และเก็บผลผลิตในวันที่ 6 ความหนาแน่นเฉลี่ยของคลอเรลล่าที่ได้จากการถอดองค์ความรู้ที่ซ่อนเร้นของเกษตรกรคือ 1.12 x 106 เซลล์ต่อมิลลิลิตร ซึ่งทำให้ผลผลิตของไรแดงมากที่สุดภายในระยะเวลาการเลี้ยง 2 วัน การถอดองค์ความรู้จากเกษตรกรผู้ประสบความสำเร็จทำให้ได้วิธีการเพาะเลี้ยงไรแดงที่สามารถปฏิบัติได้จริง ได้ผลผลิตสูงสุด เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในพื้นที่ สามารถนำผลการวิจัยพัฒนาต่อยอดเป็นเทคโนโลยีอย่างง่ายตามข้อเสนอแนะเพื่อให้เกษตรกรใช้เป็นประโยชน์ได้ต่อไป
这项研究的目的是将隐藏的知识组织起来,用小球藻培育红毛。为了研究小球藻的密度和培养红毛的最佳时间,利用这种隐藏的知识进行定性和定量的综合研究。首先,通过定性研究提取农民的隐性知识,选取雪球样本,通过深度访谈、三角访谈等方式收集数据。研究结果显示,小球藻在显著性水平上有潜力生产小球藻,农民在第一天用水10-20厘米的绿色水头培养小球藻,在第2天搅拌水,在第3天用水50厘米的淡水,在第4天补充水,在第6天收集水。从农民的隐藏知识中提取小球藻的平均密度是每毫升1.12 × 106细胞。在2天的放养期内,红瑞恩的产量达到最大。从成功的农民那里获取知识,从而获得一种实用的养殖红瑞恩的方法。最高产量。符合当地条件的,可以根据建议将进一步的研究成果作为一项简单的技术,供农民继续使用。
{"title":"การถอดองค์ความรู้ซ่อนเร้นการเพาะเลี้ยงไรแดงด้วยคลอเรลล่า: กรณีศึกษาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช","authors":"เกตุมณี ศรีอินทร์, อติรัฐ มากสุวรรณ์","doi":"10.55766/zchp1563","DOIUrl":"https://doi.org/10.55766/zchp1563","url":null,"abstract":"งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อถอดองค์ความรู้ที่ซ่อนเร้นการเพาะเลี้ยงไรแดงด้วยคลอเรลล่าของเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงไรแดงของอำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อศึกษาความหนาแน่นของคลอเรลล่า และระยะเวลาที่เหมาะสมของการเพาะเลี้ยงไรแดงจากองค์ความรู้ที่ซ่อนเร้นดังกล่าว ใช้การวิจัยแบบผสมผสานเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยเริ่มจากการถอดองค์ความรู้ที่ซ่อนเร้นของเกษตรกรด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบลูกบอลหิมะ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก ตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า แล้วทดสอบเพื่อยืนยันองค์ความรู้ที่ซ่อนเร้นของเกษตรกรด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ วิเคราะห์ความแปรปรวน และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างทรีทเมนต์ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ผลการวิจัยพบว่าคลอเรลล่ามีศักยภาพในการผลิตไรแดง เกษตรกรเพาะเลี้ยงคลอเรลล่าโดยการละลายวัสดุอาหารด้วยหัวเชื้อน้ำเขียวให้ได้ระดับน้ำ 10-20 เซนติเมตร และให้อากาศในวันแรก วันที่ 2 กวนน้ำช่วงเช้าและเย็น วันที่ 3 เติมน้ำสะอาดให้ได้ระดับน้ำ 50 เซนติเมตร วันที่ 4 เติมหัวเชื้อไรแดง และเก็บผลผลิตในวันที่ 6 ความหนาแน่นเฉลี่ยของคลอเรลล่าที่ได้จากการถอดองค์ความรู้ที่ซ่อนเร้นของเกษตรกรคือ 1.12 x 106 เซลล์ต่อมิลลิลิตร ซึ่งทำให้ผลผลิตของไรแดงมากที่สุดภายในระยะเวลาการเลี้ยง 2 วัน การถอดองค์ความรู้จากเกษตรกรผู้ประสบความสำเร็จทำให้ได้วิธีการเพาะเลี้ยงไรแดงที่สามารถปฏิบัติได้จริง ได้ผลผลิตสูงสุด เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในพื้นที่ สามารถนำผลการวิจัยพัฒนาต่อยอดเป็นเทคโนโลยีอย่างง่ายตามข้อเสนอแนะเพื่อให้เกษตรกรใช้เป็นประโยชน์ได้ต่อไป","PeriodicalId":145995,"journal":{"name":"Suranaree Journal of Social Science","volume":"32 1","pages":"0"},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2022-04-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"115956757","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การเพิ่มผลิตภาพแรงงานโดยการลดความสูญเปล่าที่เกิดจากการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น ในกระบวนการเลี้ยงสุกรขุนด้วยหลักการ ECDRS ในจังหวัดเลย 通过省内的ECDR原则来减少不必要的运动造成的浪费来提高劳动生产率。
Pub Date : 2022-04-04 DOI: 10.55766/zmuq8380
ธรณินทร์ สอนพรม, ปณัทพร เรืองเชิงชุม
การวิจัยนี้นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสูญเปล่า รวมถึงศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความสูญเปล่า และเพื่อเสนอแนวทางการเพิ่มผลิตภาพแรงงานโดยการลดความสูญเปล่าที่เกิดจากการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นในกระบวนการเลี้ยงสุกรขุนด้วยหลักการ ECDRS ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานมีหน่วยวิเคราะห์ข้อมูลในระดับปัจเจกบุคคลเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วม รวมถึงสัมภาษณ์เชิงลึกโดยสุ่มแบบเจาะจง มีกลุ่มเป้าหมาย 18 คน และเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามโดยสุ่มแบบมีระบบ มีกลุ่มตัวอย่าง 101 คน ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยแผนภูมิกระบวนการไหล ผังการดําเนินการ ปัจจัยเชิงสาเหตุ แผนผังกระบวนการ IDEF และหลักการ ECDRS ผลการวิจัยพบว่า ความสูญเปล่าที่เกิดจากการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นในกระบวนการเลี้ยงสุกรขุนส่งผลให้เวลาในการปฏิบัติงานสูงถึง 57.04 นาที โดยปัจจัยส่วนการปฏิบัติงานเป็นปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความสูญเปล่าที่เกิดจากการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นมากที่สุด และพบว่าผลิตภาพแรงงานมีค่า 63.16 ตัวต่อชั่วโมงแรงงาน จึงเสนอแนวทางการเพิ่มผลิตภาพแรงงานทำให้ระยะเวลาการปฏิบัติงานลดลงจาก 57.04 เป็น 53.11 นาที ส่งผลให้ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นจาก 63.16 เป็น 66.11 ตัวต่อชั่วโมงแรงงาน ผู้วิจัยจึงเสนอเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรขุนให้ความสำคัญต่อการเพิ่มผลิตภาพแรงงานโดยลดความสูญเปล่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน
本研究的目的是研究浪费,包括研究造成浪费的原因,并提出减少不必要运动造成的浪费的方法来提高劳动生产率。研究结果表明,饲养过程中不必要的运动造成的浪费导致了57.04分钟的运行时间。劳动时间从57.04下降到53.11,劳动时间从63.16下降到66.11,劳动时间从63.04下降到63.11。
{"title":"การเพิ่มผลิตภาพแรงงานโดยการลดความสูญเปล่าที่เกิดจากการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น ในกระบวนการเลี้ยงสุกรขุนด้วยหลักการ ECDRS ในจังหวัดเลย","authors":"ธรณินทร์ สอนพรม, ปณัทพร เรืองเชิงชุม","doi":"10.55766/zmuq8380","DOIUrl":"https://doi.org/10.55766/zmuq8380","url":null,"abstract":"การวิจัยนี้นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสูญเปล่า รวมถึงศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความสูญเปล่า และเพื่อเสนอแนวทางการเพิ่มผลิตภาพแรงงานโดยการลดความสูญเปล่าที่เกิดจากการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นในกระบวนการเลี้ยงสุกรขุนด้วยหลักการ ECDRS ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานมีหน่วยวิเคราะห์ข้อมูลในระดับปัจเจกบุคคลเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วม รวมถึงสัมภาษณ์เชิงลึกโดยสุ่มแบบเจาะจง มีกลุ่มเป้าหมาย 18 คน และเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามโดยสุ่มแบบมีระบบ มีกลุ่มตัวอย่าง 101 คน ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยแผนภูมิกระบวนการไหล ผังการดําเนินการ ปัจจัยเชิงสาเหตุ แผนผังกระบวนการ IDEF และหลักการ ECDRS ผลการวิจัยพบว่า ความสูญเปล่าที่เกิดจากการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นในกระบวนการเลี้ยงสุกรขุนส่งผลให้เวลาในการปฏิบัติงานสูงถึง 57.04 นาที โดยปัจจัยส่วนการปฏิบัติงานเป็นปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อความสูญเปล่าที่เกิดจากการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นมากที่สุด และพบว่าผลิตภาพแรงงานมีค่า 63.16 ตัวต่อชั่วโมงแรงงาน จึงเสนอแนวทางการเพิ่มผลิตภาพแรงงานทำให้ระยะเวลาการปฏิบัติงานลดลงจาก 57.04 เป็น 53.11 นาที ส่งผลให้ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นจาก 63.16 เป็น 66.11 ตัวต่อชั่วโมงแรงงาน ผู้วิจัยจึงเสนอเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรขุนให้ความสำคัญต่อการเพิ่มผลิตภาพแรงงานโดยลดความสูญเปล่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน","PeriodicalId":145995,"journal":{"name":"Suranaree Journal of Social Science","volume":"12 1","pages":"0"},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2022-04-04","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"130579116","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
Factors Affecting Employment Intention and Student Satisfaction in Accounting Internship: A Case of International Private University 会计实习就业意向与学生满意度的影响因素:以国际私立大学为例
Pub Date : 2022-04-01 DOI: 10.55766/sjnf7898
Victorina Villanueva-Vunnasiri, Lynn Lynn Shane, Theresa Thaneetananont, Issorasak Santivitoonvongs
This research aims to examine the relationship between accounting student-interns evaluation, their supervisor evaluation and student satisfaction toward internship, and employment intention. Questionnaires were used to collect data from 98 accounting student-interns and 98 of their supervisors The collected data was analyzed in terms of Cronbach's alpha coefficient analysis, factor analysis, composite reliability, average variance extracted, and multiple regression analysis.  The results reveal that (1) student evaluation is significantly related to student satisfaction toward the internship program but not to employment intention and (2) supervisor evaluation is significantly related to employment intention but not to student satisfaction toward internship.
本研究旨在探讨会计实习生评价、导师评价、实习满意度与就业意向之间的关系。采用问卷法对98名会计实习生及其98名主管进行数据收集,采用Cronbach’s alpha系数分析、因子分析、复合信度分析、平均方差提取、多元回归分析等方法对收集到的数据进行分析。结果显示:(1)学生评价与学生实习项目满意度显著相关,与学生就业意向不显著相关;(2)导师评价与学生就业意向显著相关,与学生实习满意度不显著相关。
{"title":"Factors Affecting Employment Intention and Student Satisfaction in Accounting Internship: A Case of International Private University","authors":"Victorina Villanueva-Vunnasiri, Lynn Lynn Shane, Theresa Thaneetananont, Issorasak Santivitoonvongs","doi":"10.55766/sjnf7898","DOIUrl":"https://doi.org/10.55766/sjnf7898","url":null,"abstract":"This research aims to examine the relationship between accounting student-interns evaluation, their supervisor evaluation and student satisfaction toward internship, and employment intention. Questionnaires were used to collect data from 98 accounting student-interns and 98 of their supervisors The collected data was analyzed in terms of Cronbach's alpha coefficient analysis, factor analysis, composite reliability, average variance extracted, and multiple regression analysis.  The results reveal that (1) student evaluation is significantly related to student satisfaction toward the internship program but not to employment intention and (2) supervisor evaluation is significantly related to employment intention but not to student satisfaction toward internship.","PeriodicalId":145995,"journal":{"name":"Suranaree Journal of Social Science","volume":"40 1","pages":"0"},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2022-04-01","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"121831502","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
บทปริทัศน์ว่าด้วยนโยบายสาธารณะเพื่อการจัดการขยะอาหาร 公共政策废物管理的展望
Pub Date : 2022-03-30 DOI: 10.55766/ebjb9105
อรสุภาว์ สายเพชร, ฆริกา คันธา
บทปริทัศน์นี้เป็นการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของขยะอาหารในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนนโยบายที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษาพบว่า นโยบายสาธารณะเป็นเครื่องมือของภาครัฐที่หลายประเทศนำมาใช้ในการบริหารจัดการขยะอาหารอย่างเป็นระบบ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้ปริมาณขยะอาหารลดลงอย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าประสงค์ที่ 12.3 ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ผู้วิจัยจึงเสนอแนะข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อจัดการขยะอาหารสำหรับประเทศไทย อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้กำหนดนโยบายและทุกภาคส่วนในสังคมไทย เพื่อร่วมกันดำเนินการสู่การผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน
研究发现,公共政策是政府在供应链中系统地管理食品垃圾的工具,有效地减少了食品垃圾的数量,达到了可持续发展目标的12.3。这将有利于政策制定者和泰国社会的所有部门,以实现可持续的生产和消费。
{"title":"บทปริทัศน์ว่าด้วยนโยบายสาธารณะเพื่อการจัดการขยะอาหาร","authors":"อรสุภาว์ สายเพชร, ฆริกา คันธา","doi":"10.55766/ebjb9105","DOIUrl":"https://doi.org/10.55766/ebjb9105","url":null,"abstract":"บทปริทัศน์นี้เป็นการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของขยะอาหารในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนนโยบายที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษาพบว่า นโยบายสาธารณะเป็นเครื่องมือของภาครัฐที่หลายประเทศนำมาใช้ในการบริหารจัดการขยะอาหารอย่างเป็นระบบ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้ปริมาณขยะอาหารลดลงอย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าประสงค์ที่ 12.3 ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ผู้วิจัยจึงเสนอแนะข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อจัดการขยะอาหารสำหรับประเทศไทย อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้กำหนดนโยบายและทุกภาคส่วนในสังคมไทย เพื่อร่วมกันดำเนินการสู่การผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน","PeriodicalId":145995,"journal":{"name":"Suranaree Journal of Social Science","volume":"655 1","pages":"0"},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2022-03-30","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"121066599","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
องค์ประกอบที่มีผลต่อความต้องการส่งเสริมการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออก ของเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดในเขตภาคเหนือของประเทศไทย 促进菠萝生产的要素是泰国北部菠萝种植者的出口。
Pub Date : 2022-03-28 DOI: 10.55766/wylp7494
เทอดพันธ์ ธรรมรัตนพงษ์, เฉลิมศักดิ์ ตุ้มหิรัญ, จินดา ขลิบทอง
ภาคเหนือของประเทศไทยมีการส่งออกสับปะรดผลสดไปจำหน่ายยังต่างประเทศ แต่กฎระเบียบข้อบังคับการนำเข้าสินค้าทำให้เกษตรกรไม่ต้องการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออก  งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบการส่งเสริมการเกษตรที่เกษตรกรต้องการได้รับสำหรับการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออก โดยการศึกษาหาตัวแปรที่สำคัญต่อการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออก ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interviews) กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) ได้ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง จำนวน 30 ตัวแปร และนำมาใช้สำรวจความต้องการได้รับการส่งเสริมการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออกกับเกษตรกร เมื่อนำตัวแปร ทั้ง 30 ตัวแปร มาหาความสัมพันธ์กันเพื่อลดจำนวนตัวแปรลง โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor Analysis) และสร้างเป็นองค์ประกอบใหม่ พบว่า ได้องค์ประกอบ จำนวน 5 ด้าน ได้แก่  1) การส่งเสริมการผลิตสับปะรดส่งออกตามแนวคิดชีวิตวิถีใหม่  2) การส่งเสริมการค้าสับปะรดระหว่างประเทศ  3) การส่งเสริมการรวมกลุ่มและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร  4) การส่งเสริมการศึกษาวิจัยนวัตกรรมการผลิตสับปะรด และ  5) การส่งเสริมด้านธรรมาภิบาลธุรกิจสับปะรด  ทั้งนี้องค์ประกอบความต้องการส่งเสริมการเกษตรทั้ง 5 ด้าน มีผลช่วยให้เกษตรกรต้องการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออก ได้ถึงร้อยละ 65.30  โดยองค์ประกอบด้านการส่งเสริมการค้าสับปะรดระหว่างประเทศ มีผลต่อความต้องการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออกของเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด มากที่สุด (Beta = 0.133)  ทั้งนี้สามารถนำมาเขียนเป็นสมการเพื่อใช้ในการพยากรณ์ คือ  = 4.355 + 0.353X2 + 0.393X1 + 0.270X4 + 0.319X3 + 0.268X5 จากผลงานวิจัยเป็นแนวทางให้ภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้ส่งเสริมให้เกษตรกร เกิดความต้องการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออกที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและตรงตามความต้องการของผู้บริโภค
泰国北部有新鲜菠萝的出口,在国外也有新鲜菠萝的出口,但是进口法规禁止农民生产菠萝来出口。通过对菠萝生产出口关键变量的深入研究,我们得到了30个相关变量,并进行了需求调查,促进了菠萝生产与农民的出口。当取这30个变量时,找到它们之间的关系来减少它们的数量。2)促进菠萝国际贸易3)促进菠萝生产创新研究4)促进菠萝生产创新5)促进菠萝生产治理5)促进菠萝生产,促进农民对菠萝生产的需求占总出口的5%。65.30万?国际菠萝贸易促进因素对菠萝种植者出口菠萝的需求影响最大。根据研究结果,该方程可以写成:4.355 + 0.353X2 + 0.393X1 + 0.270x3 + 0.319X3 + 0.26x5。
{"title":"องค์ประกอบที่มีผลต่อความต้องการส่งเสริมการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออก ของเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดในเขตภาคเหนือของประเทศไทย","authors":"เทอดพันธ์ ธรรมรัตนพงษ์, เฉลิมศักดิ์ ตุ้มหิรัญ, จินดา ขลิบทอง","doi":"10.55766/wylp7494","DOIUrl":"https://doi.org/10.55766/wylp7494","url":null,"abstract":"ภาคเหนือของประเทศไทยมีการส่งออกสับปะรดผลสดไปจำหน่ายยังต่างประเทศ แต่กฎระเบียบข้อบังคับการนำเข้าสินค้าทำให้เกษตรกรไม่ต้องการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออก  งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบการส่งเสริมการเกษตรที่เกษตรกรต้องการได้รับสำหรับการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออก โดยการศึกษาหาตัวแปรที่สำคัญต่อการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออก ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interviews) กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) ได้ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง จำนวน 30 ตัวแปร และนำมาใช้สำรวจความต้องการได้รับการส่งเสริมการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออกกับเกษตรกร เมื่อนำตัวแปร ทั้ง 30 ตัวแปร มาหาความสัมพันธ์กันเพื่อลดจำนวนตัวแปรลง โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor Analysis) และสร้างเป็นองค์ประกอบใหม่ พบว่า ได้องค์ประกอบ จำนวน 5 ด้าน ได้แก่  1) การส่งเสริมการผลิตสับปะรดส่งออกตามแนวคิดชีวิตวิถีใหม่  2) การส่งเสริมการค้าสับปะรดระหว่างประเทศ  3) การส่งเสริมการรวมกลุ่มและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร  4) การส่งเสริมการศึกษาวิจัยนวัตกรรมการผลิตสับปะรด และ  5) การส่งเสริมด้านธรรมาภิบาลธุรกิจสับปะรด  ทั้งนี้องค์ประกอบความต้องการส่งเสริมการเกษตรทั้ง 5 ด้าน มีผลช่วยให้เกษตรกรต้องการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออก ได้ถึงร้อยละ 65.30  โดยองค์ประกอบด้านการส่งเสริมการค้าสับปะรดระหว่างประเทศ มีผลต่อความต้องการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออกของเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด มากที่สุด (Beta = 0.133)  ทั้งนี้สามารถนำมาเขียนเป็นสมการเพื่อใช้ในการพยากรณ์ คือ  = 4.355 + 0.353X2 + 0.393X1 + 0.270X4 + 0.319X3 + 0.268X5 จากผลงานวิจัยเป็นแนวทางให้ภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้ส่งเสริมให้เกษตรกร เกิดความต้องการผลิตสับปะรดเพื่อการส่งออกที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและตรงตามความต้องการของผู้บริโภค","PeriodicalId":145995,"journal":{"name":"Suranaree Journal of Social Science","volume":"77 1","pages":"0"},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2022-03-28","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"122523568","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
Usage a Blended Learning Model to Promote the Career of Thai Massage for Health for Adult Students 运用混合式学习模式促进成人泰式保健按摩事业的发展
Pub Date : 2022-03-21 DOI: 10.55766/nsfc3577
Phantipa Amornrit, Chalabhorn Suwansumrit, Thaweerat Thubthimthong
       This research aimed to study the implementation of a blended learning model for career promotion of Thai massage for health for adult students. The research samples comprised 34 adult students of Traditional Medical Clinic at Sirindhorn College of Public Health, Chonburi, selected by purposive sampling. The research tools were 1) a blended learning model for career promotion of Thai massage for health for adult students and 2) tools to study the outcome of implementing a blended learning model, including (1) a test on Thai massage for health, (2) an evaluation form on Thai massage for health skills, (3) an observation form of learners’ participation in learning activities through the learning model, and (4) a satisfaction assessment form. The data were analyzed using dependent sample t-test, frequency, percentage, and standard deviation. The results of the research were as follows: 1) the comparison of knowledge assessment in Thai massage for health of the learners showed that the mean of the post-test score after the learning activities were 0.05 percent significantly higher than that of the pre-test score, 2) the evaluation of Thai massage practice skills showed that learners can practice at the most correct level (90% and above) and at the correct level (80-90% and above), 3) the observation of learners participating in the activities showed that the average of the students' participation was at a high level, and 4) the sample group showed that the overall level of satisfaction was at a high level. The participants viewed that learning through the model can be further applied and promote a career at a high level.
本研究旨在探讨泰式健康按摩职业发展的混合式学习模式的实施。研究对象为春武里诗琳通公共卫生学院传统医学诊所的34名成年学生,采用有目的抽样法。研究工具为成人泰式保健按摩职业发展的混合式学习模式,以及研究混合式学习模式实施效果的工具,包括泰式保健按摩测试、泰式保健按摩技能评估表、学习者通过学习模式参与学习活动的观察表、满意度评估表。采用相关样本t检验、频率、百分比和标准差对数据进行分析。研究结果如下:1)学习者泰式按摩健康知识评价比较显示,学习活动后的测试后得分均值显著高于测试前得分0.05个百分点;2)泰式按摩实践技能评价显示,学习者能够达到最正确水平(90%及以上)和正确水平(80-90%及以上);(3)对学习者参与活动的观察显示,学生的平均参与程度处于较高水平;(4)样本组的总体满意度处于较高水平。与会者认为,通过该模式的学习可以进一步应用,并在更高的水平上促进职业发展。
{"title":"Usage a Blended Learning Model to Promote the Career of Thai Massage for Health for Adult Students","authors":"Phantipa Amornrit, Chalabhorn Suwansumrit, Thaweerat Thubthimthong","doi":"10.55766/nsfc3577","DOIUrl":"https://doi.org/10.55766/nsfc3577","url":null,"abstract":"       This research aimed to study the implementation of a blended learning model for career promotion of Thai massage for health for adult students. The research samples comprised 34 adult students of Traditional Medical Clinic at Sirindhorn College of Public Health, Chonburi, selected by purposive sampling. The research tools were 1) a blended learning model for career promotion of Thai massage for health for adult students and 2) tools to study the outcome of implementing a blended learning model, including (1) a test on Thai massage for health, (2) an evaluation form on Thai massage for health skills, (3) an observation form of learners’ participation in learning activities through the learning model, and (4) a satisfaction assessment form. The data were analyzed using dependent sample t-test, frequency, percentage, and standard deviation. The results of the research were as follows: 1) the comparison of knowledge assessment in Thai massage for health of the learners showed that the mean of the post-test score after the learning activities were 0.05 percent significantly higher than that of the pre-test score, 2) the evaluation of Thai massage practice skills showed that learners can practice at the most correct level (90% and above) and at the correct level (80-90% and above), 3) the observation of learners participating in the activities showed that the average of the students' participation was at a high level, and 4) the sample group showed that the overall level of satisfaction was at a high level. The participants viewed that learning through the model can be further applied and promote a career at a high level.","PeriodicalId":145995,"journal":{"name":"Suranaree Journal of Social Science","volume":"14 9 1","pages":"0"},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2022-03-21","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"122229042","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 1
期刊
Suranaree Journal of Social Science
全部 Acc. Chem. Res. ACS Applied Bio Materials ACS Appl. Electron. Mater. ACS Appl. Energy Mater. ACS Appl. Mater. Interfaces ACS Appl. Nano Mater. ACS Appl. Polym. Mater. ACS BIOMATER-SCI ENG ACS Catal. ACS Cent. Sci. ACS Chem. Biol. ACS Chemical Health & Safety ACS Chem. Neurosci. ACS Comb. Sci. ACS Earth Space Chem. ACS Energy Lett. ACS Infect. Dis. ACS Macro Lett. ACS Mater. Lett. ACS Med. Chem. Lett. ACS Nano ACS Omega ACS Photonics ACS Sens. ACS Sustainable Chem. Eng. ACS Synth. Biol. Anal. Chem. BIOCHEMISTRY-US Bioconjugate Chem. BIOMACROMOLECULES Chem. Res. Toxicol. Chem. Rev. Chem. Mater. CRYST GROWTH DES ENERG FUEL Environ. Sci. Technol. Environ. Sci. Technol. Lett. Eur. J. Inorg. Chem. IND ENG CHEM RES Inorg. Chem. J. Agric. Food. Chem. J. Chem. Eng. Data J. Chem. Educ. J. Chem. Inf. Model. J. Chem. Theory Comput. J. Med. Chem. J. Nat. Prod. J PROTEOME RES J. Am. Chem. Soc. LANGMUIR MACROMOLECULES Mol. Pharmaceutics Nano Lett. Org. Lett. ORG PROCESS RES DEV ORGANOMETALLICS J. Org. Chem. J. Phys. Chem. J. Phys. Chem. A J. Phys. Chem. B J. Phys. Chem. C J. Phys. Chem. Lett. Analyst Anal. Methods Biomater. Sci. Catal. Sci. Technol. Chem. Commun. Chem. Soc. Rev. CHEM EDUC RES PRACT CRYSTENGCOMM Dalton Trans. Energy Environ. Sci. ENVIRON SCI-NANO ENVIRON SCI-PROC IMP ENVIRON SCI-WAT RES Faraday Discuss. Food Funct. Green Chem. Inorg. Chem. Front. Integr. Biol. J. Anal. At. Spectrom. J. Mater. Chem. A J. Mater. Chem. B J. Mater. Chem. C Lab Chip Mater. Chem. Front. Mater. Horiz. MEDCHEMCOMM Metallomics Mol. Biosyst. Mol. Syst. Des. Eng. Nanoscale Nanoscale Horiz. Nat. Prod. Rep. New J. Chem. Org. Biomol. Chem. Org. Chem. Front. PHOTOCH PHOTOBIO SCI PCCP Polym. Chem.
×
引用
GB/T 7714-2015
复制
MLA
复制
APA
复制
导出至
BibTeX EndNote RefMan NoteFirst NoteExpress
×
0
微信
客服QQ
Book学术公众号 扫码关注我们
反馈
×
意见反馈
请填写您的意见或建议
请填写您的手机或邮箱
×
提示
您的信息不完整,为了账户安全,请先补充。
现在去补充
×
提示
您因"违规操作"
具体请查看互助需知
我知道了
×
提示
现在去查看 取消
×
提示
确定
Book学术官方微信
Book学术文献互助
Book学术文献互助群
群 号:481959085
Book学术
文献互助 智能选刊 最新文献 互助须知 联系我们:info@booksci.cn
Book学术提供免费学术资源搜索服务,方便国内外学者检索中英文文献。致力于提供最便捷和优质的服务体验。
Copyright © 2023 Book学术 All rights reserved.
ghs 京公网安备 11010802042870号 京ICP备2023020795号-1