首页 > 最新文献

Interdisciplinary Academic and Research Journal最新文献

英文 中文
การสำรวจภูมิทัศน์ของการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ: กลยุทธ์ เทคโนโลยีและผลกระทบ การสำรวจภูมิทัศน์ของการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ: กลยุทธ์ เทคโนโลยีและผลกระทบ
Pub Date : 2024-05-21 DOI: 10.60027/iarj.2024.276782
สันทนา สุธาดารัตน์, บุศรา นิยมเวช
ความเป็นมาและวัตถุประสงค์: ภูมิทัศน์ของการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากองค์กรต้องการคงศักยภาพความได้เปรียบในการแข่งขันและประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้  เนื่องจากการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการมีลักษณะเป็นพลวัต และเน้นการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องที่สามารถนำไปใช้ได้จริง  ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการจึงเป็นสิ่งจำเป็น ทำให้องค์กรมีข้อมูลในการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ ที่สามารถสร้างวัฒนธรรมการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีการสร้างสรรค์นวัตกรรมระเบียบวิธี: การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเอกสาร โดยการรวบรวมและวิเคราะห์วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงอย่างเป็นระบบ เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงตลอดจนคำศัพท์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ เทคโนโลยี และผลกระทบของการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ อย่างละเอียดและครอบคลุม  การศึกษานี้จะช่วยสร้างความเข้าใจเรื่องการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ จากมุมมองที่หลากหลายและแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ผลการวิจัย: แนวคิดหลักในการสำรวจภูมิทัศน์ของการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการครอบคลุมหลายมิติ ประการแรก เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบของการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ ได้แก่ การเรียนรู้ทางสังคม ประสบการณ์จากการทำงาน และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน  การรับรู้องค์ประกอบดังกล่าวช่วยให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์เชิงกลยุทธ์และสนับสนุนการริเริ่มการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการได้อย่างเหมาะสม   ประการที่สอง เทคโนโลยีที่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการมีบทบาทสำคัญ เป็นต้นว่า การใช้โปรแกรมประยุกต์ (Application) แพลตฟอร์มสื่อสังคม (Facebook, Twitter และ LinkedIn) และแพลตฟอร์มประสบการณ์การเรียนรู้ (Learning Experience Platform) สามารถสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี  โดยเฉพาะในภูมิทัศน์สมัยใหม่ที่โลกถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี   ประการที่สาม การจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ มีผลกระทบต่อการพัฒนาองค์กร ทำให้บุคลากรมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น เกิดมีวัฒนธรรมนวัตกรรม และองค์กรต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  องค์กรจึงมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดให้มีการเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการในโครงสร้างขององค์กรสรุปผล: การสำรวจภูมิทัศน์ของการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการนี้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจกับรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างมีกลยุทธ์  และความจำเป็นที่จะต้องมีการบูรณาการการเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการกับโครงสร้างองค์กร  เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและเพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคลากรในการขับเคลื่อนเส้นทางการเรียนรู้
ความเป็นมาและวัตถุประสงค์:ภูมิทัศน์ของการจัดการเรียนรู้แบบไม่ เป็นทางการเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเE28↩ักยภาพควาไมด้เปรียบในการแข่งขันและประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เนื่องจาการเรียนรู้แบไม่เป็นทางการมีลักษณะเป็นพลวตัและเน้นการเรียนรู้อย่างต่อเนือ่งที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ข้อมูลเกี่ยวับการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการจึงเป็นสิ่งจำเป็นทำให้องค์กรมีข้อมูลในการจัดการเรียนรู้แบไม่เป็นทางการ ที่สามารถสร้างวัฒนธรรมการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีการสร้างสรค์นวัตรกรมระเบียบวิธี:การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเอกสาร โดยการวบรวมและวิเคราะห์วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงอย่างเป็นระบบ เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงตลดอจนคำศัพท์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับลยุทธ์เทคนโลียและผลกระผลกระผจัดการเรียนรู้แบไม่เป็นทางการ อย่างละเอียดและครอบคลุม การศึกษานี้จะช่วยสร้างความเข้าใจเรอือการจัดการเรียนรู้แบบไมเป็นทางการ จากมุมมองที่หารอการอการอการอกอจัย:แนวคิดหลักในการสำรวจภูมิทัศน์ของการจัดการเรียนรู้แบไม่เป็นทางการครอบคลุมหายมิติ ประการแรกเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบของการเรียนรู้แบไมเป็นทางการ ได้แก่ การเรียนรู้ทางสังคม ประสกบารณ์จาการทำงาน และการแกเป็นทางการนรียนรู้ซึ่งกันและกัน การับรู้องค์ประกอบดังกล่าวช่วยใหองค์กรสามารถใช้ประโยชน์เชิงกลุยทธ์และสนับสนุนาริเริมการจัดการเรียนรู้แบไม่เป็นทางการได้อย่างเหมาะสม เทคโนโลยีที่เอือต่อการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการมีบทบาทสำคัญ เป็นต้นว่า การใช้โปรแกรมประยุกต์ (Application) แพลตฟอร์มสือสังคม (Facebook、学习体验平台) สามารถสนองความต้องการที่หาลกหายอขงผู้เรียนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในภูมิทัศน์สมัยใหม่ที่โลกถูขับเคลือนด้วยเทคโนโลยี ประการที่สาม การจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ มีผลกระทบต่อการพัฒนางอค์กรทำให้บุคลากรมีประสิทธิภาพในการทงานมากขึ้น เกิดมีวัฒนธรรมนวัตกรรม และองค์กรต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าทงเทคโนโลยี องค์กรจึงมีควาจมำเป็นที่จะต้องกำหนดให้มีการเรียนรู้อยา่งไม่เป็นทางการในโครงสร้างของอค์กรสรุปผล:การสำรวจภูมิทัศน์ของการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการนี้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการทคำวามเข้าใจับบรูปแบการเรียนรู้ที่หาย การใชป้ระโยชน์จากเทคนโยียางมียุทธ์ และความจำเป็นที่จะต้องมีการบูรณาการการเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการกับโครงสร้างองค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและเพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคลากรในการขับเคลื่อนเส้นทางการเรียนรู้
{"title":"การสำรวจภูมิทัศน์ของการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ: กลยุทธ์ เทคโนโลยีและผลกระทบ","authors":"สันทนา สุธาดารัตน์, บุศรา นิยมเวช","doi":"10.60027/iarj.2024.276782","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276782","url":null,"abstract":"ความเป็นมาและวัตถุประสงค์: ภูมิทัศน์ของการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากองค์กรต้องการคงศักยภาพความได้เปรียบในการแข่งขันและประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้  เนื่องจากการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการมีลักษณะเป็นพลวัต และเน้นการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องที่สามารถนำไปใช้ได้จริง  ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการจึงเป็นสิ่งจำเป็น ทำให้องค์กรมีข้อมูลในการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ ที่สามารถสร้างวัฒนธรรมการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีการสร้างสรรค์นวัตกรรม\u0000ระเบียบวิธี: การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเอกสาร โดยการรวบรวมและวิเคราะห์วรรณกรรมที่มีชื่อเสียงอย่างเป็นระบบ เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงตลอดจนคำศัพท์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ เทคโนโลยี และผลกระทบของการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ อย่างละเอียดและครอบคลุม  การศึกษานี้จะช่วยสร้างความเข้าใจเรื่องการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ จากมุมมองที่หลากหลายและแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้\u0000ผลการวิจัย: แนวคิดหลักในการสำรวจภูมิทัศน์ของการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการครอบคลุมหลายมิติ ประการแรก เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบของการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ ได้แก่ การเรียนรู้ทางสังคม ประสบการณ์จากการทำงาน และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน  การรับรู้องค์ประกอบดังกล่าวช่วยให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์เชิงกลยุทธ์และสนับสนุนการริเริ่มการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการได้อย่างเหมาะสม   ประการที่สอง เทคโนโลยีที่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการมีบทบาทสำคัญ เป็นต้นว่า การใช้โปรแกรมประยุกต์ (Application) แพลตฟอร์มสื่อสังคม (Facebook, Twitter และ LinkedIn) และแพลตฟอร์มประสบการณ์การเรียนรู้ (Learning Experience Platform) สามารถสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี  โดยเฉพาะในภูมิทัศน์สมัยใหม่ที่โลกถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี   ประการที่สาม การจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ มีผลกระทบต่อการพัฒนาองค์กร ทำให้บุคลากรมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น เกิดมีวัฒนธรรมนวัตกรรม และองค์กรต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  องค์กรจึงมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดให้มีการเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการในโครงสร้างขององค์กร\u0000สรุปผล: การสำรวจภูมิทัศน์ของการจัดการเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการนี้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจกับรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างมีกลยุทธ์  และความจำเป็นที่จะต้องมีการบูรณาการการเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการกับโครงสร้างองค์กร  เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและเพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคลากรในการขับเคลื่อนเส้นทางการเรียนรู้","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"128 21","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-05-21","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"141115568","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การจัดการสวนยางพาราเพื่อเพิ่มผลผลิต การจัดการสวนยางพาราเพื่อเพิ่มผลผลิต
Pub Date : 2024-04-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.274697
ยงยุทธ แก้วน้อย, ธนัญชกร ปกิตตาวิจิตร, ศุภวัฒน์ สุขะปรเมษฐ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์ : บทความนี้นำเสนอแนวทางและวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มผลผลิตในการจัดการสวนยางพาราอย่างยั่งยืน โดยการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการปรับปรุงกระบวนการมาใช้ในการปลูกและผลิตยางพารา ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ปลูกที่เหมาะสมและการเลือกพันธุ์ยางพาราที่เหมาะสม การดูแลรักษาต้นยางพาราอย่างเหมาะสม การเก็บเกี่ยวยางพาราในเวลาที่เหมาะสม และการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของยางพาราอย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจการจัดการสวนยางพาราเพื่อเพิ่มผลผลิตในยางพาราและอุตสาหกรรมยางพาราทั้งในปัจจุบันและอนาคตข้างหน้าระเบียบวิธีการวิจัย : การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์และนําเสนอตามประเด็นวัตถุประสงค์การศึกษาผลการวิจัย : การจัดการสวนยางพาราเพื่อเพิ่มผลผลิตต้องพึ่งพาองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาและการวิจัยที่ต่อเนื่อง ความรู้นี้รวมถึงการเลือกสายพันธุ์ยางที่เหมาะสมกับสภาพดินและอากาศในแต่ละพื้นที่ การใช้วิธีการปลูกและกรีดยางที่ทันสมัย การบำรุงดินและการใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสมสรุปผล : การเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสม การบำรุงดิน การใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม การควบคุมศัตรูพืชและโรค และการกรีดยางด้วยวิธีที่ทำให้ต้นยางมีอายุการใช้งานยาวนาน รวมทั้งการสนับสนุนจากรัฐบาลในด้านการศึกษา การวิจัย และการเข้าถึงเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่สามารถจัดการสวนยางได้
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์ :บทความนี้นำเสนอแนวทางและวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มผลผลิตในการจัดการสวนยางพาราอย่างยั่งยืน โดยการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการปรับปรุงกระบวนการมาใช้ในการปลูกและผลิตยางพาราตั้งแต่การเตรียมพืนที่ปลูกที่เหมาะสมและการเลือกพันธุ์ยางพาราที่เหมาะสม การดูแลรักษาต้นยางพาราอย่างเหมาะสมการเ็บเกี่ยวยางพาราในเวลาที่เหมาะสม และการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของยางพารอย่างมีประสิทธิภาพเด็กเด็กเจัดการสวนยางพารเพือเพิ่มผรมใรมผรมในยางพารมใจการจัดการสวนยางทั้งในปัจุบันและอนาคตข้างหน้าระเบียบวิธีการวิจัย :การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเอกสารและงนวิจัยที่เกี่ยวข้อง :การจัดการสวนยางพาราเพื่อเพิ่มผลผลาตต้องพึ่งพารจ้ที่ไดจ้ากาการศึกษาและการวจัยี่อเนื่อความรู้นี้รวมถึงการเลือกสายพันธุ์ยางที่เหมาะสมกับสภาพดินและาอกาศ↩↪LoE43↩นแต่ละพื้นที่ การใช้วิธีการปลูกและกรีดยางที่ทันสมัย การบำรุงดินและการใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสมรุปผล :การเลอืกสายพันธุ์ที่เหมาะสม การบำรุงดิน การใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม การควบคุศัตรูพชและโรค และการกรีดยางด้วยวิธีที่ทำใ้ต้นยางมีอยุการใช้งานยาวนรวมทั้งการสนับสนุนจากรัฐบาลในด้านการศึกษา การวิจัย และการเข้าถึงเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่สามารถจัดการสวนยางได้
{"title":"การจัดการสวนยางพาราเพื่อเพิ่มผลผลิต","authors":"ยงยุทธ แก้วน้อย, ธนัญชกร ปกิตตาวิจิตร, ศุภวัฒน์ สุขะปรเมษฐ","doi":"10.60027/iarj.2024.274697","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.274697","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์ : บทความนี้นำเสนอแนวทางและวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มผลผลิตในการจัดการสวนยางพาราอย่างยั่งยืน โดยการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการปรับปรุงกระบวนการมาใช้ในการปลูกและผลิตยางพารา ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ปลูกที่เหมาะสมและการเลือกพันธุ์ยางพาราที่เหมาะสม การดูแลรักษาต้นยางพาราอย่างเหมาะสม การเก็บเกี่ยวยางพาราในเวลาที่เหมาะสม และการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของยางพาราอย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจการจัดการสวนยางพาราเพื่อเพิ่มผลผลิตในยางพาราและอุตสาหกรรมยางพาราทั้งในปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย : การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์และนําเสนอตามประเด็นวัตถุประสงค์การศึกษา\u0000ผลการวิจัย : การจัดการสวนยางพาราเพื่อเพิ่มผลผลิตต้องพึ่งพาองค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาและการวิจัยที่ต่อเนื่อง ความรู้นี้รวมถึงการเลือกสายพันธุ์ยางที่เหมาะสมกับสภาพดินและอากาศในแต่ละพื้นที่ การใช้วิธีการปลูกและกรีดยางที่ทันสมัย การบำรุงดินและการใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม\u0000สรุปผล : การเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสม การบำรุงดิน การใช้ปุ๋ยอย่างเหมาะสม การควบคุมศัตรูพืชและโรค และการกรีดยางด้วยวิธีที่ทำให้ต้นยางมีอายุการใช้งานยาวนาน รวมทั้งการสนับสนุนจากรัฐบาลในด้านการศึกษา การวิจัย และการเข้าถึงเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่สามารถจัดการสวนยางได้","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"37 4","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-04-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"140729433","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การศึกษาความชุกของการรังแกกันในเด็กปฐมวัย : กรณีศึกษาโรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง การศึกษาความชุกของการรังแกกันในเด็กปฐมวัย : กรณีศึกษาโรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง
Pub Date : 2024-04-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.276121
นุชนาถ โอฬารวัฒน์, จุฑาภรณ์ มาสันเทียะ, ดารุณี ทิพยกุลไพโรจน์
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ปัญหาการรังแกกันสามารถเกิดได้ทุกเพศทุกวัย และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงมากขึ้นตามอายุที่พบ เด็กปฐมวัยก็พบว่ามีการรังแกกันเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งการค้นพบข้อมูลว่าเด็กปฐมวัยสามารถรังแกกันได้ จะทำให้ผู้ปกครอง ครู และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหานี้ต่อไป การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกของการรังแกกันในเด็กปฐมวัยโรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทองระเบียบวิธีการวิจัย: งานวิจัยนี้เป็นแบบกรณีศึกษาในโรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง เก็บข้อมูลกับนักเรียน ระดับชั้นอนุบาล 1 ถึง 3 จำนวน 547 คน ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง โดยครูประจำชั้นแต่ละห้องเป็นผู้สังเกตและประเมินพฤติกรรมของนักเรียน และวิเคราะห์ผลการสังเกตพฤติกรรมโดยใช้สถิติบรรยาย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ผลผลการศึกษา: เด็กปฐมวัยโรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทองส่วนใหญ่ไม่พบพฤติกรรมการรังแกกันทั้ง 3 รูปแบบ ดังนี้ (1) การรังแกกันทางกายใน 10 พฤติกรรมย่อย คิดเป็นร้อยละ 68.20 ถึง 94.50 ของนักเรียนทั้งหมด (2) การรังแกกันทางวาจาใน 8 พฤติกรรมย่อย คิดเป็นร้อยละ 88.10 ถึง 95.60 ของนักเรียนทั้งหมด และ (3) การรังแกกันทางสังคมใน 4 พฤติกรรมย่อย คิดเป็น 88.80 ถึง 95.60 ของนักเรียนทั้งหมดสรุปผล: ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าเด็กก่อนวัยเรียนส่วนใหญ่ที่โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทองไม่ได้มีส่วนร่วมในพฤติกรรมการกลั่นแกล้ง แต่มีเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างมากที่มีส่วนร่วมในรูปแบบการกลั่นแกล้งทางร่างกาย วาจา และทางสังคม อัตราความชุกของพฤติกรรมย่อยเหล่านี้อยู่ระหว่าง 68.20% ถึง 95.60%
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:ปัญหาการรังแกกันสามารถเกิดได้ทุกเพศทุกวัย และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงมากขึ้นตามอายุที่พบ เด็กปฐมวัยก็พบว่ามีการรังแกกันเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งการค้นพบข้อมูลว่าเด็กปฐมวัยสามารถรังแกกันได้ จะทำให้ผู้ปกครองครู และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหานี้ต่อไป การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกของการรังแกกันในเด็กปฐมวัยโรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทองระเบียบวิธีการวิจัย:งานวิจัยนี้เป็นแบบกรณีศึกษาในโรงเรียนอนุบาลวัดอา่งทอง เก็บข้อมูลกับนัเรียน ระดับชั้นอนุบาล 1 ถึง 3 จำนวน 547 คน ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลวัด่อางทองเด็กประเมินพฤติกรรมของนัเกรียน เด็กประจำชั้นแต่ละห์ผการสังกเตพฤติกรรมโดยใช้สถิติบรรยาย ได้แก่ ควาถี่ ร้อยละ ผลผลการศึกษา:เด็กปฐมวัยโรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทองส่วนใหญ่ไม่พบพฤติกรรมการรังแกกันทั้ง 3 รูปแบบ ดังนี้ (1) การรังแกกันทางกายใน 10 พฤติกรรมย่อย คิดเ็ปนร้อยละ 68.20 ถึง 94.50 ของนักเรียนทั้งหมด (2) การรังแกักนทางวาจาใน 8 พฤติกรรมย่อย คิดเป็นร้อยละ 88.10 ถึง 95.60 ของนักเรียนทั้งหมด และ (3) การรังแกันทางสังคมใน 4 พฤติกรรมย่อย คิดเป็น 88.80 ถึง 95.60 ของนักเรียนทั้งหมดสรุปผล:ผลการรศึกษาแสดงให้าแต่มีเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างมากที่มีส่วนร่วมในรูปแบการกลั่นแกล้งทางร่างกาย วาจา และทางสังคม อัตราควมชุกขงอพฤติกรรมย่อยเหาระหาง 68.20% ถึง 95.60
{"title":"การศึกษาความชุกของการรังแกกันในเด็กปฐมวัย : กรณีศึกษาโรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง","authors":"นุชนาถ โอฬารวัฒน์, จุฑาภรณ์ มาสันเทียะ, ดารุณี ทิพยกุลไพโรจน์","doi":"10.60027/iarj.2024.276121","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276121","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ปัญหาการรังแกกันสามารถเกิดได้ทุกเพศทุกวัย และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงมากขึ้นตามอายุที่พบ เด็กปฐมวัยก็พบว่ามีการรังแกกันเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งการค้นพบข้อมูลว่าเด็กปฐมวัยสามารถรังแกกันได้ จะทำให้ผู้ปกครอง ครู และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหานี้ต่อไป การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกของการรังแกกันในเด็กปฐมวัยโรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: งานวิจัยนี้เป็นแบบกรณีศึกษาในโรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง เก็บข้อมูลกับนักเรียน ระดับชั้นอนุบาล 1 ถึง 3 จำนวน 547 คน ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทอง โดยครูประจำชั้นแต่ละห้องเป็นผู้สังเกตและประเมินพฤติกรรมของนักเรียน และวิเคราะห์ผลการสังเกตพฤติกรรมโดยใช้สถิติบรรยาย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ผล\u0000ผลการศึกษา: เด็กปฐมวัยโรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทองส่วนใหญ่ไม่พบพฤติกรรมการรังแกกันทั้ง 3 รูปแบบ ดังนี้ (1) การรังแกกันทางกายใน 10 พฤติกรรมย่อย คิดเป็นร้อยละ 68.20 ถึง 94.50 ของนักเรียนทั้งหมด (2) การรังแกกันทางวาจาใน 8 พฤติกรรมย่อย คิดเป็นร้อยละ 88.10 ถึง 95.60 ของนักเรียนทั้งหมด และ (3) การรังแกกันทางสังคมใน 4 พฤติกรรมย่อย คิดเป็น 88.80 ถึง 95.60 ของนักเรียนทั้งหมด\u0000สรุปผล: ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าเด็กก่อนวัยเรียนส่วนใหญ่ที่โรงเรียนอนุบาลวัดอ่างทองไม่ได้มีส่วนร่วมในพฤติกรรมการกลั่นแกล้ง แต่มีเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างมากที่มีส่วนร่วมในรูปแบบการกลั่นแกล้งทางร่างกาย วาจา และทางสังคม อัตราความชุกของพฤติกรรมย่อยเหล่านี้อยู่ระหว่าง 68.20% ถึง 95.60%","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"27 8","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-04-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"140728259","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
The Development of Happy Organization Indicators of Private Vocational Colleges in The Northeast 东北地区民办高职院校幸福组织指标的制定
Pub Date : 2024-04-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.274838
Rattavikran Pradubsert, Pongphop Phoojomjit, Kritkanok Duangchatom
Background and Aims: The concept of a happiness organization is another idea aimed at promoting the quality of life in the workplace for individuals. It believes that fostering relationships within the organization leads to happiness. The feeling of being valued and having a sense of worth to the organization creates a sense of commitment, joy, love in work, and devotion to the organization. ready to dedicate physical and mental strength to contribute fullest potential of the organization. This research aims, to development of happy organization indicators and to test the goodness of fit of the structural relationship model of happy organization indicators of private vocational colleges in the Northeast with empirical data.Methodology: The research is divided into 2 phases. Phases 1 to development of happy organization indicators. The key informants group consisted of 9 experts, a sample group of 490 administrators and teachers. The research instrument is an interview form and a questionnaire. Statistics to analyze data by mean and standard deviation. Phase 2 to test the goodness of fit of the structural relationship model happy organization indicators of private vocational colleges in the Northeast with the empirical data, by second-order confirmatory factor analysis.Results: The indicators of the happy organization of private vocational colleges in the Northeast comprised 5 factors and 25 indicators, Happy people 5 indicators, Happy home 5 indicators, Organizational culture 5 indicators, Job satisfaction 5 indicators, and Happy Teamwork 5 indicators. 2. The goodness of fit of the structural relationship model of happy organization indicators of private vocational colleges in the Northeast. It was in good agreement with the empirical data, with Chi-Square = 3853.531, df = 270, P-Value = 0.000, CMIN/df. = 1.428, CFI = .962, GFI = 0.929 TLI = .958, AGFI= 0.915, RMSEA=0.033 RMR= 0.030, NFI= 0.886, IFI= 0.963. Every component had a statistically significant relationship at the 0.001 level.Conclusion: The consideration of workplace happiness is deemed a crucial factor in organizational management, particularly in the realm of human resource management. It has a significant impact on an individual level, fostering greater motivation and effectiveness in the workplace, and creating an atmosphere of happiness in the educational environment, administrators, teachers, and students collaboratively work together with full dedication and ability, resulting in improved operations and increased efficiency and effectiveness. Creating a positive image for the organization, and most importantly, the ultimate product of the educational institution: students who receive instruction from teachers working joyfully
背景和目的:幸福组织的概念是另一种旨在提高个人工作场所生活质量的理念。它认为,促进组织内部的关系会带来幸福。被重视的感觉和对组织的价值感会产生一种承诺感、愉悦感、对工作的热爱以及对组织的奉献。本研究旨在开发快乐组织指标,并通过实证数据检验东北地区民办高职院校快乐组织指标结构关系模型的拟合优度:研究分为两个阶段。第一阶段为幸福组织指标的开发阶段。关键信息员组由 9 名专家组成,样本组为 490 名管理人员和教师。研究工具为访谈表和调查问卷。通过平均值和标准差对数据进行统计分析。第二阶段,通过二阶确证因子分析,检验东北地区民办高职院校幸福组织指标结构关系模型与实证数据的拟合优度:东北地区民办高职院校幸福组织指标由5个因子25个指标组成,幸福人5个指标、幸福家5个指标、组织文化5个指标、工作满意度5个指标、幸福团队合作5个指标。2.东北地区民办高职院校幸福组织指标结构关系模型的拟合优度。与实证数据吻合较好,Chi-Square=3853.531,df=270,P-Value=0.000,CMIN/df.=1.428,CFI=0.962,GFI=0.929,TLI=0.958,AGFI=0.915,RMSEA=0.033,RMR=0.030,NFI=0.886,IFI=0.963。每个组成部分在 0.001 水平上都有统计学意义:在组织管理中,尤其是在人力资源管理领域,考虑工作场所的幸福感被认为是一个至关重要的因素。在教育环境中营造一种幸福的氛围,管理者、教师和学生能够通力合作,全力以赴,提高工作效率和效益。为组织树立正面形象,最重要的是,为教育机构的最终产品创造正面形象:学生在教师的指导下快乐地工作
{"title":"The Development of Happy Organization Indicators of Private Vocational Colleges in The Northeast","authors":"Rattavikran Pradubsert, Pongphop Phoojomjit, Kritkanok Duangchatom","doi":"10.60027/iarj.2024.274838","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.274838","url":null,"abstract":"Background and Aims: The concept of a happiness organization is another idea aimed at promoting the quality of life in the workplace for individuals. It believes that fostering relationships within the organization leads to happiness. The feeling of being valued and having a sense of worth to the organization creates a sense of commitment, joy, love in work, and devotion to the organization. ready to dedicate physical and mental strength to contribute fullest potential of the organization. This research aims, to development of happy organization indicators and to test the goodness of fit of the structural relationship model of happy organization indicators of private vocational colleges in the Northeast with empirical data.\u0000Methodology: The research is divided into 2 phases. Phases 1 to development of happy organization indicators. The key informants group consisted of 9 experts, a sample group of 490 administrators and teachers. The research instrument is an interview form and a questionnaire. Statistics to analyze data by mean and standard deviation. Phase 2 to test the goodness of fit of the structural relationship model happy organization indicators of private vocational colleges in the Northeast with the empirical data, by second-order confirmatory factor analysis.\u0000Results: The indicators of the happy organization of private vocational colleges in the Northeast comprised 5 factors and 25 indicators, Happy people 5 indicators, Happy home 5 indicators, Organizational culture 5 indicators, Job satisfaction 5 indicators, and Happy Teamwork 5 indicators. 2. The goodness of fit of the structural relationship model of happy organization indicators of private vocational colleges in the Northeast. It was in good agreement with the empirical data, with Chi-Square = 3853.531, df = 270, P-Value = 0.000, CMIN/df. = 1.428, CFI = .962, GFI = 0.929 TLI = .958, AGFI= 0.915, RMSEA=0.033 RMR= 0.030, NFI= 0.886, IFI= 0.963. Every component had a statistically significant relationship at the 0.001 level.\u0000Conclusion: The consideration of workplace happiness is deemed a crucial factor in organizational management, particularly in the realm of human resource management. It has a significant impact on an individual level, fostering greater motivation and effectiveness in the workplace, and creating an atmosphere of happiness in the educational environment, administrators, teachers, and students collaboratively work together with full dedication and ability, resulting in improved operations and increased efficiency and effectiveness. Creating a positive image for the organization, and most importantly, the ultimate product of the educational institution: students who receive instruction from teachers working joyfully","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"259 2","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-04-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"140730565","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การสร้างชุมชนเข้มแข็งกับการพัฒนาประชาธิปไตยฐานรากของไทย การสร้างชุมชนเข้มแข็งกับการพัฒนาประชาธิปไตยฐานรากของไทย
Pub Date : 2024-04-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.276085
บรรเจิด สิงคะเนติ
บทคัดย่อ :จากการศึกษาเรื่องการสร้างชุมชนเข้มแข็งกับการพัฒนาประชาธิปไตยฐานรากของไทย โดยศึกษาถึง 1. แนวคิดเรื่องประชาธิปไตยในระดับชุมชนท้องถิ่น 2. สภาพสังคมวิทยาพื้นฐานของการสร้างประชาธิปไตยฐานรากของไทย  3. แนวทางในการสร้างประชาธิปไตยในระดับชุมชนท้องถิ่นของไทย  และ  4. บทสังเคราะห์สรุปจากการดำเนินงานในครึ่งปีแรก แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาให้เกิดความเข้มแข็งของชุมชนในสังคมไทย แต่ทั้งนี้จะต้องหาแนวทางและวางมาตรการกลไกที่จะพัฒนาให้เกิด “พื้นที่กลาง” ในแต่ละชุมชน  โดยเฉพาะ “พื้นที่กลาง” ในระดับจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นที่จะต้องประสานงานกับองค์กรภาคีเครือข่ายที่ทำงานกับภาคประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ถึงเป้าหมายในการที่จะสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในพื้นที่  หากชุมชนในแต่ละพื้นที่มีความเข้มแข็งมีความเป็นเอกภาพ ชุมชนจะมีบทบาทอย่างสำคัญในการช่วยเหลือภาครัฐในการบริหารจัดการในระดับพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญที่มีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ เมื่อประชาชนในพื้นที่มีบทบาทสำคัญในการร่วมแก้ไขปัญหาในพื้นที่ของตนเองได้ รากฐานเหล่านี้จะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในทางโครงสร้างและจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญของประชาธิปไตยอัตลักษณ์ไทยที่วางพื้นฐานสำคัญอยู่ที่ชุมชน
จาการศึกษาเรื่องการสรางชุมชนเ้มแข็งกับการพัฒนาประชาธิปไตยฐานรากของไทย โดยศึกษาถึง 1. แนวคิเดรืองประชาธิปไตยในระชับชุมชนท้องถิ่น 2.สภาพสังคมวิทยาพื้นฐานของการสร้างประชาธิปไตยฐานรากของไทย 3. แนวทางในการสร้างประชาธิปไตยในระดับุชมชนท้องถิ่นของไทย และ 4.บทสังเคราะห์สรุปจากการดำเนินงานในครึ่งปีแรก แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาให้เกิดความเข้มแข็งของชุมชนในสังคมไทย แต่ทั้งนี้จะต้องหาแนวทางและวางมาตรการกลไกที่จะพัฒนาให้เกิด “พื้นที่กลาง”ในแต่ละชุมชน โดยเฉพาะ "พืนที่กลาง" ในระดับจังหวัด นอกจากนี้ยังมีควาจำเป็นที่จะต้องประสานงานกับองค์กรภาคีเครอื่ขายที่ทำงานกับภาคประชาชนในพืนที่ต่าง ๆ ถึงเป้าหมายในการที่จะสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในพื้นที่ หากชุมชนในแต่ละพื้นที่มีความเข้มแข็งมีความเป็นเอกภาพ ชุมชนจะมีบทบาทอย่างสำคัญในการช่วยเหลือภาครัฐในการบริหารจัดการในระดับพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญที่มีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่นั้น ๆเมือประชาชนในพ้ืนที่มีบทบาทสำคัญในการ่วมแก้ไขปัญหาในพืนที่ของตนเองได้รากฐานเหาลานี้จะำไปสู่การลดความเหาลือมล้ใำนทางโครงสร้างและจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญของประชาธิไปตยอัตัลษกณ์ไทยที่วางพื้นฐานสำคัญอยู่ทีชุมชน
{"title":"การสร้างชุมชนเข้มแข็งกับการพัฒนาประชาธิปไตยฐานรากของไทย","authors":"บรรเจิด สิงคะเนติ","doi":"10.60027/iarj.2024.276085","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276085","url":null,"abstract":"บทคัดย่อ :\u0000จากการศึกษาเรื่องการสร้างชุมชนเข้มแข็งกับการพัฒนาประชาธิปไตยฐานรากของไทย โดยศึกษาถึง 1. แนวคิดเรื่องประชาธิปไตยในระดับชุมชนท้องถิ่น 2. สภาพสังคมวิทยาพื้นฐานของการสร้างประชาธิปไตยฐานรากของไทย  3. แนวทางในการสร้างประชาธิปไตยในระดับชุมชนท้องถิ่นของไทย  และ  4. บทสังเคราะห์สรุปจากการดำเนินงานในครึ่งปีแรก แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาให้เกิดความเข้มแข็งของชุมชนในสังคมไทย แต่ทั้งนี้จะต้องหาแนวทางและวางมาตรการกลไกที่จะพัฒนาให้เกิด “พื้นที่กลาง” ในแต่ละชุมชน  โดยเฉพาะ “พื้นที่กลาง” ในระดับจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นที่จะต้องประสานงานกับองค์กรภาคีเครือข่ายที่ทำงานกับภาคประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ถึงเป้าหมายในการที่จะสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในพื้นที่  หากชุมชนในแต่ละพื้นที่มีความเข้มแข็งมีความเป็นเอกภาพ ชุมชนจะมีบทบาทอย่างสำคัญในการช่วยเหลือภาครัฐในการบริหารจัดการในระดับพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญที่มีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ เมื่อประชาชนในพื้นที่มีบทบาทสำคัญในการร่วมแก้ไขปัญหาในพื้นที่ของตนเองได้ รากฐานเหล่านี้จะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในทางโครงสร้างและจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญของประชาธิปไตยอัตลักษณ์ไทยที่วางพื้นฐานสำคัญอยู่ที่ชุมชน","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"75 5","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-04-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"140729516","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
ความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาลของบุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาลของบุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
Pub Date : 2024-04-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.276382
ณัฐพล ประชุมของ
ประสิทธิผล หากนำมาปรับใช้และพัฒนางานของกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะเกิดประโยชน์แก่บุคลากรและองค์กร โดยการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาลของบุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2) ศึกษาเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาล ตามปัจจัยส่วนบุคคล (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านความรู้ความเข้าใจต่อหลักธรรมาภิบาลกับความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาล และ (4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านการรับรู้หลักธรรมาภิบาล ผ่านสื่อต่าง ๆ กับความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาลระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ได้แก่ บุคลากรกองพัฒนานิสิต จำนวน 127 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ t-test One-Way ANOVA LSD และ Pearson Product Moment Correlation Coefficient โดยกำหนดระดับค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05ผลการศึกษา: ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาล อยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า เพศ อายุ ประสบการณ์การทำงาน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่แตกต่างกัน ของบุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาลในภาพรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนระดับการศึกษา ของบุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาลแตกต่างกัน นอกจากนี้ความรู้ความเข้าใจต่อหลักธรรมาภิบาลมีความสัมพันธ์กับความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาล ของบุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในทิศทางตามกันน้อย (r =.36) และการรับรู้หลักธรรมาภิบาลผ่านสื่อต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กับความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาล ของบุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในทิศทางตามกันน้อย (r =.39)สรุปผล: บุคลากรมีความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาลในภาพรวม อยู่ในระดับมาก แต่เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านหลักการมีส่วนร่วมของสาธารณชน มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ดังนั้น ควรมีการจัดอบรมบุคลากรในประเด็นของ การเปิดโอกาสให้นิสิตเข้ามาแสดงความคิดเห็นและประเมินความพึงพอใจในการรับบริการ ผ่านช่องทางไลน์ เว็บไซต์ ให้มาก รวมถึงการปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมงานอย่างเท่าเทียมกัน เป็นธรรม สุจริต ยึดความ โปร่งใส จัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบเพื่อการตรวจสอบได้ง่าย ส่งผลให้การดำเนินงานต่าง ๆ ของ หน่วยงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ประสิทธิผล หากนำมาปรับใช้และพัฒนางานของกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะเกิดประโยชน์แก่บุคลากรและองค์กร โดยการวิจัยครั้งนี้ีมวัตถ↩ุประสงค์เพื่อ(1) ศึกษาระดับความคิดเห็นตักธรรมาภิบาลของบุคลากรอกงพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยกษเตรศาสตร์ (2) ศึกษาเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อหารักธรมาภิบาล(3) ศึกษาควมสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านความเข้าใจต่อหาลักธรรมภาิบาลกับควาคมิดเห็นต่อหาลักธรมภาิบาล และ(4) ศึกษาความสัมพันธ์รหะหว่างปัจจัยด้านการรับรู้าหลักธรรมาภิบาล ผ่านสือต่าง ๆ กับความคิดเห็ต่อหักธรรมาภิบาลระเบียบวิธีการวจัย:กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวจัยครั้งนี้ได้แก่ มตุคลากรกองพัฒนานิสิต จำนวน 127 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็เนครื่องมือในการรวบรวมข้มอูลสถิติที่ใช้ในการวิเคราะข์้อมูล คอื ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ t-检验 单向方差分析 LSD และ Pearson Product Moment Correlation Coefficient โดยกำหนดระดับ่คานัยสคัญทางสถิติที่ระดับ.05ผลการศึกษา:ผลากรวิจัยพบว่า ุบคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความคิเดหน็่อหารักธรรมาภิบาล อยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมติฐานพบว่า เพศ อายุประสบการณ์การทำงาน รายได้เลี่ยต่อเดือน ที่แตกต่างกัน ของบุคลากรอกงพัฒนานิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความคิเห็ต่อหาักธรรมภาิบาลในภาพรวมไม่แตกต่างกันส่วนระดับการศึกษา ของบคอุลากรกงพัฒนานสิ มตหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความคิดเห็นต่อหาลักธรมาภิบาลแตตก่งกันนอกจากนี้ความรู้ความเข้าใจจ่ตอหาลักธรรมภาิบาลมีความสัมพันธ์กับความิคดเห็นต่อหาลักธรรมาภิบาล ของบุคลากรอกงพัฒนานิสติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในทิศทางตามกัน้อย (r =.36) และากรรับรู้าหาลักธรรมาภิบาลผ่านส่ือต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กับควาคมิดเห็นต่อหาลักธรมภิบาล ของบุคลากกรองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในทิศทางตามกัน้อย (r =.39)สรุปผล:มติคากรมีความคิดเห็นต่อกธรรมาภิบาลใภนาพรวม อยู่ในระดับมาก แต่เมื่อพจิารณารายด้าน พบว่า ด้านหาลัการมีส่วนร่วมของสาธารณชนมีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ดังนั้น ควรมีการจัดอบรมบุคลากรในประเด็นของ การเปิดโอกาสให้นิสิเตข้ามาแสดงความคิเด็หนแลปะระเมินความพึงพอใจในการรับริการผานช่องทางไลน์ เว็บไซต์ ใ้มาก รวมถึงการปฏบัติต่อเพือนร่วมงานอย่างเท่าเทียมกัน เป็นธรม สุจริต ยึดวคาม โปร่งใสจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบเพือการตรวจสอบได้ง่าย ส่งผลให้ารดำเนิงานต่าง ๆ ของ หนิงานป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
{"title":"ความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาลของบุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์","authors":"ณัฐพล ประชุมของ","doi":"10.60027/iarj.2024.276382","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.276382","url":null,"abstract":"ประสิทธิผล หากนำมาปรับใช้และพัฒนางานของกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะเกิดประโยชน์แก่บุคลากรและองค์กร โดยการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาลของบุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2) ศึกษาเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาล ตามปัจจัยส่วนบุคคล (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านความรู้ความเข้าใจต่อหลักธรรมาภิบาลกับความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาล และ (4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านการรับรู้หลักธรรมาภิบาล ผ่านสื่อต่าง ๆ กับความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาล\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ได้แก่ บุคลากรกองพัฒนานิสิต จำนวน 127 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ t-test One-Way ANOVA LSD และ Pearson Product Moment Correlation Coefficient โดยกำหนดระดับค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05\u0000ผลการศึกษา: ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาล อยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า เพศ อายุ ประสบการณ์การทำงาน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่แตกต่างกัน ของบุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาลในภาพรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนระดับการศึกษา ของบุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาลแตกต่างกัน นอกจากนี้ความรู้ความเข้าใจต่อหลักธรรมาภิบาลมีความสัมพันธ์กับความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาล ของบุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในทิศทางตามกันน้อย (r =.36) และการรับรู้หลักธรรมาภิบาลผ่านสื่อต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กับความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาล ของบุคลากรกองพัฒนานิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในทิศทางตามกันน้อย (r =.39)\u0000สรุปผล: บุคลากรมีความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาลในภาพรวม อยู่ในระดับมาก แต่เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านหลักการมีส่วนร่วมของสาธารณชน มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ดังนั้น ควรมีการจัดอบรมบุคลากรในประเด็นของ การเปิดโอกาสให้นิสิตเข้ามาแสดงความคิดเห็นและประเมินความพึงพอใจในการรับบริการ ผ่านช่องทางไลน์ เว็บไซต์ ให้มาก รวมถึงการปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมงานอย่างเท่าเทียมกัน เป็นธรรม สุจริต ยึดความ โปร่งใส จัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบเพื่อการตรวจสอบได้ง่าย ส่งผลให้การดำเนินงานต่าง ๆ ของ หน่วยงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"9 6","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-04-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"140729655","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การใช้ทักษะดิจิทัลในการบริหารงานของวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชสีมา การใช้ทักษะดิจิทัลในการบริหารงานของวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชสีมา
Pub Date : 2024-04-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.275674
สุพจน์ พิมประสาร, ณรงค์ชัย บุญมั่น, อมรรัตน์ พุทธอริยวงศ์, ชลวัฒน์ กิมซัว, ศักดิ์สิทธิ์ เทียมคำ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ปัจจุบันการใช้ทักษะดิจิทัลสำหรับการบริหารงานระดับอุดมศึกษาถือว่าเป็นอีกทักษะหนึ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวหน้าผู้บริหารสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีส่วนสำคัญในบริหารคณะทำงานในองค์กรที่ต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ดิจิทัลเพื่อที่จะจัดการการบริหารบุคลากรให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการวิจัยในครั้งนี้ วิทยาลัยศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยได้ให้ความสำคัญในเรื่องทักษะการใช้งานดิจิทัลในการบริหารงานด้านการศึกษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการใช้ทักษะดิจิทัลสำหรับการบริหารงาน 2) ศึกษาการประเมินการใช้ทักษะดิจิทัลสำหรับการบริหารงาน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจในการใช้ทักษะดิจิทัลสำหรับการบริหารงาน ซึ่งทำการศึกษาที่วิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชสีมา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมาระเบียบวิธีวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้มีส่วนได้ส่วนจำนวน 100 คน ได้แก่ อาจารย์ 15 คน บุคลากรสนับสนุนอีก 12 คน และนักศึกษา 72 คน รวม 100 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบ 2 ขั้นตอน ใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นปีการศึกษา โดยแบ่งตามขนาดจำนวนนักศึกษาแต่ละชั้นปีการศึกษา ภายในวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชสีมา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ในปีการศึกษา 2023 เครื่องมือวิจัยในครั้งนี้ คือ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนโดยแบ่งเกณฑ์การวัดผลการประเมินทั้งหมด 5 ระดับ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการวิจัย: ศักยภาพในการใช้ทักษะดิจิทัลถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างมากในการบริหารงานของวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชีมา นอกจากนั้นยังพบว่า (1) ภาพรวมการใช้ทักษะดิจิทัลของบริหารงานอยู่ในระดับสูง (2) การสำรวจความพึงพอใจในการใช้ทักษะดิจิทัลของบริหารงานโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (3) ประเด็นที่จำเป็นสูงสุดคือการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลโดยการใช้ทักษะดิจิทัลสำหรับการพัฒนาการบริหารงานของวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชสีมาสรุปผล: การใช้ทักษะดิจิทัลในการบริหารวิทยาลัยวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชสีมาอยู่ในระดับที่สูงอย่างมีนัยสำคัญและการประเมินความต้องการเป็นตัวชี้วัดศักยภาพในการใช้ทักษะดิจิทัลเพื่อการพัฒนาการบริหารงานควบคู่กับเทคโนโลยีดิจิทัล
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:ปัจุบันการใช้ทักษะดิจิทัลสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างย่ิหัวหน้าผู้บริหารสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีส่วนสำคัญในบริหารคณะทำงานในองค์กรที่ต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ดิจิทัลเพื่อที่จะจัดการการบริหารบุคลากรให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพสำรับารวิจัยในครั้งนี้ วิทยาลัยศาสนศาสตร์มหาวิทยาลัยมหากุฏราชวิทยาลัยได้ให้ความสสำคัญในเรอื่งทักษะการใช้งานดิจิทัลในการบริหารงนด้านการศึษกาเพอืืให้บรรุเป้าหมายอยา่งมีปะสิทธิภาพและประสิทธิผลการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการใช้ทักษะดิจิทัลสำหรับการบริหารงน2) เE28↩ึกษาการประเมินการใช้ทักษะดิจิทัลสำจิทัลสำบการบริน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจในการใช้ทักษะดิจิทัลสำบการบริหารงานึซ่งทำการศึษาที่วิทยาลัยศาสนศาตสร์นคราชสีมา อำเภอเมอืง จังหวัดนคราชสีมาระเบียบวิธีวจั:100 คน เด้แก่ อาจารย์ 15 คน มตัวอย่าง คือ ผู้มีส่วนศึกษา 72 คน รวม 100 คนใช้วิธีการสุ่มแบ 2 ขั้นตอน ใช้ารสุ่มแบแบ่งชั้นปีการศึกษา โดยแบ่งตามขนาดจำนวนักศึกษา แต่ละชั้นปีการศึกษาภายในวิทยาลัยศาสนศาสตร์นคราชสีมา อเภำอเมือง จังหวัดนคราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ในปีการศึกษา 2023 เครื่องมือวิจัยในครั้งีนคือ แบสอบถามชนิดมาตราส่วนโดยแบ่งเกณฑ์การวัดผลการประเมินทั้งหมด 5 ระดับ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนาตรฐานผลการวิจัย:ศักยภาพในการใช้ทักษะดิจิทัลถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างมากในการบริหารงานของวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชีมา นอกจากนั้นยังพบว่า (1) ภาพรวมการใช้ทักษะดิจิทัลของบริหารงานอยู่ในระดับสูง (2)การสำรวจความพึงพอใจในการใช้ทักษดิจิทัลองกโดยรวมอยู่ในระดบมากที่สุด (3)ประเด็นที่จำเป็นสูงสุดือการสือสารด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลโดยการใช้ทักษะดิจิทัลสำหรับารพัฒนาการบริหารงานของวิทยาลัยศาสนศาสตร์นคราชสีมสารุปผล:การใช้ทักษะดิจิทัลในการบริหารวิทยาลัยวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชสีมาอยู่ในระดับที่สูงอย่างมีนัยสำคัญและการประเมินความต้องการเป็นตัวชี้วัดศักยภาพในการใช้ทักษะดิจิทัลเพื่อการพัฒนาการบริหารงานควบคู่กับเทคโนโลยีดิจิทัล
{"title":"การใช้ทักษะดิจิทัลในการบริหารงานของวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชสีมา","authors":"สุพจน์ พิมประสาร, ณรงค์ชัย บุญมั่น, อมรรัตน์ พุทธอริยวงศ์, ชลวัฒน์ กิมซัว, ศักดิ์สิทธิ์ เทียมคำ","doi":"10.60027/iarj.2024.275674","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275674","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: ปัจจุบันการใช้ทักษะดิจิทัลสำหรับการบริหารงานระดับอุดมศึกษาถือว่าเป็นอีกทักษะหนึ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวหน้าผู้บริหารสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีส่วนสำคัญในบริหารคณะทำงานในองค์กรที่ต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ดิจิทัลเพื่อที่จะจัดการการบริหารบุคลากรให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการวิจัยในครั้งนี้ วิทยาลัยศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยได้ให้ความสำคัญในเรื่องทักษะการใช้งานดิจิทัลในการบริหารงานด้านการศึกษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการใช้ทักษะดิจิทัลสำหรับการบริหารงาน 2) ศึกษาการประเมินการใช้ทักษะดิจิทัลสำหรับการบริหารงาน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจในการใช้ทักษะดิจิทัลสำหรับการบริหารงาน ซึ่งทำการศึกษาที่วิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชสีมา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา\u0000ระเบียบวิธีวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้มีส่วนได้ส่วนจำนวน 100 คน ได้แก่ อาจารย์ 15 คน บุคลากรสนับสนุนอีก 12 คน และนักศึกษา 72 คน รวม 100 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบ 2 ขั้นตอน ใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นปีการศึกษา โดยแบ่งตามขนาดจำนวนนักศึกษาแต่ละชั้นปีการศึกษา ภายในวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชสีมา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 2 ในปีการศึกษา 2023 เครื่องมือวิจัยในครั้งนี้ คือ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนโดยแบ่งเกณฑ์การวัดผลการประเมินทั้งหมด 5 ระดับ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน\u0000ผลการวิจัย: ศักยภาพในการใช้ทักษะดิจิทัลถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างมากในการบริหารงานของวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชีมา นอกจากนั้นยังพบว่า (1) ภาพรวมการใช้ทักษะดิจิทัลของบริหารงานอยู่ในระดับสูง (2) การสำรวจความพึงพอใจในการใช้ทักษะดิจิทัลของบริหารงานโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (3) ประเด็นที่จำเป็นสูงสุดคือการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลโดยการใช้ทักษะดิจิทัลสำหรับการพัฒนาการบริหารงานของวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชสีมา\u0000สรุปผล: การใช้ทักษะดิจิทัลในการบริหารวิทยาลัยวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชสีมาอยู่ในระดับที่สูงอย่างมีนัยสำคัญและการประเมินความต้องการเป็นตัวชี้วัดศักยภาพในการใช้ทักษะดิจิทัลเพื่อการพัฒนาการบริหารงานควบคู่กับเทคโนโลยีดิจิทัล","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"60 6","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-04-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"140730011","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การศึกษาโครงการการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนภายในอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา การศึกษาโครงการการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนภายในอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
Pub Date : 2024-04-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.275658
พระครูพิจิตรธรรมปคุณ (จักรกฤษณ์ พุฒบุรี), พระอุดมธีรคุณ (ภาวัต แสวงดี), พระมหาจิณกมล อภิรตโน (จิณกมล เป็นสุข), ประครอง งามชัยภูมิ, ชลวัฒน์ กิมซัว
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: โครงการการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนภายในอำเภอเมืองนครราชสีมาเป็นส่วนของโครงการบริการวิชาการของวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมา โดยมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยได้จัดสรรงบประมาณประจำปี 2566 ซึ่งโครงการ ฯ อยู่ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ถึง 31 ตุลาคม พ.ศ. 2566 และโครงการการส่งเริมการพัฒนาชุมชนในอำเภอเมืองนครราชสีมามีเป้าหมายสำคัญคือการบริการวิชาการพระพุทธศาสนาแก่ชุมชนอย่างกว้างขวางและเป็นศูนย์กลางแห่งการแสวงหาความรู้วิชาการพระพุทธศาสนา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมการส่งเสริมในการพัฒนาชุมชนของนักศึกษากับชุมชนภายในอำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา (2) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมการส่งเสริมในการพัฒนาชุมชนของนักศึกษากับชุมชนภายในอำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ (3) อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมการส่งเสริมในการพัฒนาชุมชนของนักศึกษากับชุมชนภายในอำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมาระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มประชากร คือ อาจารย์ บุคลากร นักศึกษาช่วงชั้นปีที่ 1 – 4 ภายในวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชสีมาและหัวหน้าชุมชนที่เป็นชุมชนเป้าหมายในเขตอำเภอเมืองนครราชีมา รวมทั้งหมด 150 คน กลุ่มตัวอย่างคือ อาจารย์ บุคลากร นักศึกษา ภายในวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมาและผู้นำชุมชนในพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 60 รูป/คน จากกลุ่มประชากรที่เป็นนักศึกษาภายในวิทยาลัยศาสศาสตร์ทั้งหมด 4 ชั้นปีการศึกษา โดยใช้แบบสอบถามในการรวบรวมข้อมูลทำการวิเคราะห์ด้วยสถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการวิจัย: ผลของการวิจัยในครั้งนี้ พบว่า 1 การมีส่วนร่วมของนักศึกษาวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมาเพื่อส่งเสริมในการพัฒนาชุมชนภายในวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมาอยู่ในระดับมาก 2 ด้านการมีส่วนร่วมของนักศึกษาวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมาเพื่อส่งเสริมในการพัฒนาชุมชนภายในวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมา โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และ 3 ด้านความสัมพันธ์ที่เป็นปัจจัยต่อการมีส่วนร่วมของนักศึกษาวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมาในการพัฒนาชุมชนภายในวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญสรุปผล: การศึกษาโครงการการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนภายในอำเภอเมืองนครราชสีมา คณะผู้วิจัยพบว่าผู้มีส่วนร่วมในโครงการ ฯ ได้มีส่วนร่วมอย่างมากในการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนในอำเภอเมืองนครราชีมา และอาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา ที่เข้าไปบริการวิชาการมีความพึงพอใจในโครงการ ส่วนประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมในโครงการต่างพากันมีความสุข และได้รับความคิดสร้างสรรค์มีจิตใจสาธารณะเพิ่มมากขึ้น
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:โครงการพัฒนาชุมชนภายในอำเภอเมืองนคราสีมาเป็นส่วนของโครงการบริการวิชารของวิทยาลัยสนศาสตร์นคราชสีาเด็กเด็กจัดสรงบประมาณประจำปี 2566 ซึ่งโครงการ ฯ อยู่ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2566 ถึง 31 ตุลาคม พ.ศ.2566 และโครงการการส่งเริมการพัฒนาชุมชนในอำเภอเมืองนครราชสีมามีเป้าหมายสำคัญคือการบริการวิชาการพระพุทธศาสนาแก่ชุมชนอย่างกว้างขวางและเป็นศูนย์กลางแห่งการแสวงหาความรู้วิชาการพระพุทธศาสนา(1) เพือศึกษาระดับากรมียครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพือศึกษาระดับากรมีส่วนร่วมกรมารส่งเสริมในการัพฒนาชุมชนของนักศึกษากับชุมชนภายในอำเภอเมอืองจังหวัดนครราชสีมา(2) เปรียบเทียบการมี่สวนร่วมการส่งเสริมในการพัฒนาชุมชนของนักศึษกากับชุมชนภายในอำเภอเมอืองจังหวัดนคราชสีมา จแำนกตามปัจัยส่วนบุคคล และ (3) อธิบายความสัพันธ์ระหางปัจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมการส่งเสริมในการพัฒนาชุมชนของักศึกษากับชุมชนภายในอำเออเอภเมอืงจังหวัดนครราชสีมาระเบียบวิธีการวจัย:การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มประชากร คือ อาจารย์ บุคลากร นักศึกษาช่วงชั้นปีที่ 1 - 4ภายในวิทยาลัยศาสนศาสตร์นคราชสีมาและหัวหน้าชุมชนที่เป็ชนุมชนเป้าหมายในเขตอำเภอเมืองนครราชีมา รวมทั้งหมด 150 คน กลุ่มตัวอย่างคือ อาจารย์ บุคลากร นักศึกษาภายในวิทยาลัยสนศาสตร์นคราชสีมาและผู้นชำุมชนในพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 60 รูป/คน จากกลุ่มประชากรที่เป็นันกศึกษาภายในวิทยาลัยศาสศาสตร์นครราชสีมาและผู้นชำุมชนในวิทยาลัยศาสศาสตร์นทั้งหมด4 ชั้นปีการศึกษา โดยใช้แบบสอบถามในการวบรวมข้อมูลทำการวิเคราะห์ด้วยสถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการวิจัย:ผลของการวิจัยในครั้งนี้ พบว่า 1 การมี่สวนร่วมของนักศึกษาวิทยาลัยสนศาสตร์นคราชสีมาเพืือส่งเสริมในการพัฒนาชุมชนภายในวิทยาลัยสนศาสตร์นคราชสีมาอยู่ในระดับาก2 ด้านการมีส่วนร่วมของนักศึกษาวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมาเพื่อส่งเสริมในการพัฒนาชุมชนภายในวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมาโดยจำแนกตามปัจัยส่วนบุคลมีความแตกต่างกันย่างมีนัยสำคัญ และ 3ด้านความสัมพันธ์ที่เป็นปัจจัยต่อการมีส่วนร่วมของนักศึกษาวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมาในการพัฒนาชุมชนภายในวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญสรุปผล:การศึกษาโครงการการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนภายในอำเภอเมืองนครราชสีมา คณะผู้วิจัยพบว่าผู้มีส่วนร่วมในโครงการ ฯ ได้มีส่วนร่วมอย่างมากในการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนในอำเภอเมืองนครราชีมาและอาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา ที่เข้าไปบริการวิชาการมีความพึงพอใจในโครงการ ส่วนประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมในโครงการต่างพากันมีความสุข และได้รับความคิดสร้างสรรค์มีจิตใจสาธารณะเพิ่มมากขึ้น
{"title":"การศึกษาโครงการการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนภายในอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา","authors":"พระครูพิจิตรธรรมปคุณ (จักรกฤษณ์ พุฒบุรี), พระอุดมธีรคุณ (ภาวัต แสวงดี), พระมหาจิณกมล อภิรตโน (จิณกมล เป็นสุข), ประครอง งามชัยภูมิ, ชลวัฒน์ กิมซัว","doi":"10.60027/iarj.2024.275658","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275658","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: โครงการการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนภายในอำเภอเมืองนครราชสีมาเป็นส่วนของโครงการบริการวิชาการของวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมา โดยมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยได้จัดสรรงบประมาณประจำปี 2566 ซึ่งโครงการ ฯ อยู่ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ถึง 31 ตุลาคม พ.ศ. 2566 และโครงการการส่งเริมการพัฒนาชุมชนในอำเภอเมืองนครราชสีมามีเป้าหมายสำคัญคือการบริการวิชาการพระพุทธศาสนาแก่ชุมชนอย่างกว้างขวางและเป็นศูนย์กลางแห่งการแสวงหาความรู้วิชาการพระพุทธศาสนา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมการส่งเสริมในการพัฒนาชุมชนของนักศึกษากับชุมชนภายในอำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา (2) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมการส่งเสริมในการพัฒนาชุมชนของนักศึกษากับชุมชนภายในอำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ (3) อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมการส่งเสริมในการพัฒนาชุมชนของนักศึกษากับชุมชนภายในอำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มประชากร คือ อาจารย์ บุคลากร นักศึกษาช่วงชั้นปีที่ 1 – 4 ภายในวิทยาลัยศาสนศาสตร์นครราชสีมาและหัวหน้าชุมชนที่เป็นชุมชนเป้าหมายในเขตอำเภอเมืองนครราชีมา รวมทั้งหมด 150 คน กลุ่มตัวอย่างคือ อาจารย์ บุคลากร นักศึกษา ภายในวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมาและผู้นำชุมชนในพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 60 รูป/คน จากกลุ่มประชากรที่เป็นนักศึกษาภายในวิทยาลัยศาสศาสตร์ทั้งหมด 4 ชั้นปีการศึกษา โดยใช้แบบสอบถามในการรวบรวมข้อมูลทำการวิเคราะห์ด้วยสถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน\u0000ผลการวิจัย: ผลของการวิจัยในครั้งนี้ พบว่า 1 การมีส่วนร่วมของนักศึกษาวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมาเพื่อส่งเสริมในการพัฒนาชุมชนภายในวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมาอยู่ในระดับมาก 2 ด้านการมีส่วนร่วมของนักศึกษาวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมาเพื่อส่งเสริมในการพัฒนาชุมชนภายในวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมา โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และ 3 ด้านความสัมพันธ์ที่เป็นปัจจัยต่อการมีส่วนร่วมของนักศึกษาวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมาในการพัฒนาชุมชนภายในวิทยาลัยสนศาสตร์นครราชสีมามีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ\u0000สรุปผล: การศึกษาโครงการการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนภายในอำเภอเมืองนครราชสีมา คณะผู้วิจัยพบว่าผู้มีส่วนร่วมในโครงการ ฯ ได้มีส่วนร่วมอย่างมากในการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนในอำเภอเมืองนครราชีมา และอาจารย์ บุคลากร และนักศึกษา ที่เข้าไปบริการวิชาการมีความพึงพอใจในโครงการ ส่วนประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมในโครงการต่างพากันมีความสุข และได้รับความคิดสร้างสรรค์มีจิตใจสาธารณะเพิ่มมากขึ้น","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"47 3","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-04-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"140731893","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts เพื่อเพิ่มความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 การพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts เพื่อเพิ่มความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
Pub Date : 2024-04-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.275137
ณัฐกานต์ ศรีจันทร์, ฟิสิกส์ ฌอณ บัวกนก, ปราโมทย์ พรหมขันธ์
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts เพื่อเพิ่มความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts เพื่อเพิ่มความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากล ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากล ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน โดยใช้เทคนิค 6Ts กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จังหวัดลำปาง ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 8 และห้อง 9 ที่เรียนรายวิชาศิลปศึกษา (ดนตรี) ในภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2566 จำนวน 60 คนระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยครั้งนี้ใช้การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) โดยใช้แบบแผนการทดลองวัดผลหลังการทดลองแบบมีกลุ่มควบคุม (Randommized Control Group Posttest Only Design) เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านโน้ตดนตรีสากล 2) แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน 3) แบบทดสอบประเมินผลระหว่างการเรียนรู้ 4) แบบทดสอบประเมินผลหลังการเรียนรู้ 5) แบบทดสอบความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากล สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) ร้อยละ (Percentage) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(Standard Deviation) การทดสอบทีแบบอิสระต่อกัน (t-test independent test)ผลการวิจัย: 1) การสร้างและหาประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts เพื่อเพิ่มความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด เท่ากับ 4.55  และมีประสิทธิภาพแบบหนึ่งต่อหนึ่ง แบบกลุ่มเล็ก และแบบภาคสนาม เท่ากับ 86.67/88.89 81.11/86.67 และ 80.83/85.22 ตามลำดับ เป็นไปตามเกณฑ์กำหนด 2) การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่า  กลุ่มทดลองมีความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลได้ดีกว่าควบคุม อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05สรุปผล: ผลการวิจัยสรุปได้ว่ากลุ่ม แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts  มีคุณภาพและประสิทธิภาพ เป็นไปตามเกณฑ์ และเพิ่มความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลของนักเรียนได้
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์:การพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts เพื่อเพิ่มความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลขงอนัเกรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts เพื่อเพิ่มความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากล ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2)เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านโนต้ดนตรีสากล ของนักเรียนระดับชั้มัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยแอปพลิเชคันบสมาร์ทโฟน โดยใช้เทนิค 6Ts กลุ่มตวอย่า คอืนักเรียนโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จังหวัดลำปาง ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 8 และห้อง 9 ที่เรียนรายวิชาศิลปศึกษา (ดนตรี) ในภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2566 จำนวน 60 คนระเบียบวิธีการวิจัย:实验研究) โดยใช้้แบแบแผนการทดลองวัดผนการทดลองวัดผนการทดลองวัดผนการทดลองแบมีกลุ่มควบคุม (Randommized Control组后测设计) เครืองือวจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านโน้ตดนตรีสากล 2) แอปพลิเคชันบสมาร์ทโฟน3) แบทดสอบประเมินผลาระหว่างการเรียนรู้ 4) แบทดสอบประเมินผลารเรียนรู้ 5) แบทดสอบความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลสถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (平均值) ร้ยอละ (百分比) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(Standard Deviation) การทดสอบทีแบบอิสระต่อกัน (t-)独立测试)ผลการวิจัย:1) การสร้างและหาประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts เพื่อเพิ่มความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด เท่ากับ 4.55 แบดมียประสิทธิภาพแบบหนึงงต่อหนึ่ง แบมลุ่เล็ก แมละแบบภาคสนาม เท่าับ 86.67/88.89 81.11/86.67 แมละ 80.83/85.22 ตามลำดับ เป็นไปตามเกณฑ์กำหนด 2) การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลระหวางกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมพบว่า กลุ่มทดลองมีความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลได้ดีกว่าควบคุม อย่างมีระดับันยสำคัญทางสถิติที่ 0.05สรุปผล: ผลากรวิจัยสรุปได้ว่ากลุ่ม แปอพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts มีคุณภาพและประสิทธิภาพ เป็นไปตามเกณฑ์ และเพิ่มควมาสามารถในการอ่านนต้ดนตรีสากของนักเรียนได้
{"title":"การพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts เพื่อเพิ่มความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4","authors":"ณัฐกานต์ ศรีจันทร์, ฟิสิกส์ ฌอณ บัวกนก, ปราโมทย์ พรหมขันธ์","doi":"10.60027/iarj.2024.275137","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275137","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การพัฒนาแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts เพื่อเพิ่มความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts เพื่อเพิ่มความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากล ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากล ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน โดยใช้เทคนิค 6Ts กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จังหวัดลำปาง ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 8 และห้อง 9 ที่เรียนรายวิชาศิลปศึกษา (ดนตรี) ในภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2566 จำนวน 60 คน\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยครั้งนี้ใช้การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) โดยใช้แบบแผนการทดลองวัดผลหลังการทดลองแบบมีกลุ่มควบคุม (Randommized Control Group Posttest Only Design) เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านโน้ตดนตรีสากล 2) แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน 3) แบบทดสอบประเมินผลระหว่างการเรียนรู้ 4) แบบทดสอบประเมินผลหลังการเรียนรู้ 5) แบบทดสอบความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากล สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) ร้อยละ (Percentage) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(Standard Deviation) การทดสอบทีแบบอิสระต่อกัน (t-test independent test)\u0000ผลการวิจัย: 1) การสร้างและหาประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts เพื่อเพิ่มความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด เท่ากับ 4.55  และมีประสิทธิภาพแบบหนึ่งต่อหนึ่ง แบบกลุ่มเล็ก และแบบภาคสนาม เท่ากับ 86.67/88.89 81.11/86.67 และ 80.83/85.22 ตามลำดับ เป็นไปตามเกณฑ์กำหนด 2) การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม พบว่า  กลุ่มทดลองมีความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลได้ดีกว่าควบคุม อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05\u0000สรุปผล: ผลการวิจัยสรุปได้ว่ากลุ่ม แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน สำหรับเทคนิค 6Ts  มีคุณภาพและประสิทธิภาพ เป็นไปตามเกณฑ์ และเพิ่มความสามารถในการอ่านโน้ตดนตรีสากลของนักเรียนได้","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"175 S411","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-04-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"140730982","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
การวิเคราะห์สัญญะในการรำบวงสรวงท้าวสุรนารีเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองเมืองนครราชสีมา ครบรอบ 555 ปี การวิเคราะห์สัญญะในการรำบวงสรวงท้าวสุรนารีเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองเมืองนครราชสีมา ครบรอบ 555 ปี
Pub Date : 2024-04-08 DOI: 10.60027/iarj.2024.275463
วชิรารัตน์ นิรันดร์เตชาภัทร์
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การรำบวงสรวงท้าวสุรนารีเป็นสัญญะทางสังคมเพื่อแสดงพลังความศรัทธาของสตรี ชาวโคราช โดยกิจกรรมดังกล่าวมีกำหนดจัดงานในวันที่ 23 มีนาคมของทุกปี และในปี พ.ศ. 2566 ถือเป็นวาระพิเศษในการฉลองเมืองนครราชสีมา ครบรอบ 555 ปี ผู้จัดงานจึงมีการกำหนดให้มีนางรำบวงสรวง จำนวน 10,555 คน อีกทั้งยังคัดสรรเนื้อร้อง ท่ารำ ทำนองเพลงให้สอดคล้องกับการแสดงครั้งนี้ งานวิจัยเรื่อง “การวิเคราะห์สัญญะในการรำบวงสรวงท้าวสุรนารีเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองเมืองนครราชสีมา ครบรอบ 555 ปี” เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สัญญะและการประกอบสร้างความหมายเชิงสัญญะที่ปรากฏในการรําบวงสรวงท้าวสุรนารี (คุณหญิงโม)ระเบียบวิธีการวิจัย: เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ปี 2566 ทั้งหมด 7 เพลง ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากคลิปฝึกซ้อมการรําบวงสรวงท้าวสุรนารีจำนวน 2 คลิปที่เผยแพร่ผ่านช่องทางยูทูป จัดทำโดย เหล่ากาชาดจังหวัดนครราชสีมา โดยจะศึกษาจากเนื้อเพลงประกอบท่ารำที่สื่อสารออกมาจากผู้ฝึกซ้อมรำ จำนวน 2 ท่าน ซึ่งคลิปการแสดงนี้มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้นางรำฝึกซ้อมเองได้ตามความต้องการมีทั้งแบบที่เห็น ท่ารำด้านหลังและการฝึกซ้อมรำแบบเห็นด้านหน้าแบบกระจกผลการวิจัย: สัญญะที่แสดงผ่านเนื้อเพลงเป็นการสื่อสารอำนาจของจังหวัดนครราชสีมาโดยแสดงศักยภาพของท้องถิ่นในทุกด้านต่าง ๆ นอกจากนั้นยังสะท้อนความผูกพันต่อพิธีกรรมรำบวงสรวงท้าวสุรนารีอย่างเหนียวแน่น ทั้งนี้เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อวีรสตรีที่กอบกู้เมืองนครราชสีมาตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ถ่ายทอดผ่าน เนื้อเพลงเนื่องในโอกาสสำคัญ ในแง่สัญญะวิทยาคลิปการรำบวงสรวงที่สื่อสารความหมายโดยอรรถ (Denotative Meaning) และความหมายโดยนัย (Connotative Meaning) ผ่านท่าทางต่าง ๆ ที่ปรากฏในรูปแบบการรำ (Dance Format) มีความซับซ้อนน้อยไปจนถึงมากตามความซับซ้อนของแก่นของเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่บรรยายผ่านของเพลง โดยที่เนื้อเพลงและท่ารำมีความสัมพันธ์กับท่วงทำนองเพลงและองค์ประกอบของเพลง (Elements)สรุปผล: งานวิจัยนี้เป็นแนวทางในการพัฒนาองค์ความรู้ในการวิเคราะห์การรำบวงสรวงท้าวสุรนารีว่าด้วยเรื่องสัญญะวิทยา และเพื่อประยุกต์ใช้ในการศึกษาสหสาขาวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมิติทางสังคมและวัฒนธรรมของท้องถิ่นต่อไป
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การรำบวงสรวงท้าวสุรนารีเป็นสัญญะทางสังคมเพื่อแสดงพลังความศรัทธาของสตรี ชาวโคราช โดยกิจกรรมดังกล่าวมีกำหนดจัดงานในวันที่ 23 มีนาคมของทุกปี และในปี พ.ศ.2566 ถือเป็นวาระพิเศษในการฉลองเมืงนคราชสีมา ครบรอบ 555 ปี ผู้จัดงานจึงมีการกำหนดให้มีนางรำบวงสรวง จำนวน 10、555 คน อีกทั้งยังคัดสรรเนื้อร้อง ท่ารำ ทำนองเพลงให้สอดคล้องกับการแสดงครั้งยเรื่อง "การวิเคราะ์หสัญญะในการรำบวงสรวงท้าวสุนารีเนืองในโอกาสเฉลิมฉลงเมอืงคนราชสีมาครบรอบ 555 ปี” เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สัญญะและการประกอบสร้างความหมายเชิงสัญญะที่ปรากฏในการรําบวงสรวงท้าวสุรนารี (คุณหญิงโม)ระเบียบวิธีการวิจัย:2566 เทั้งหมด 7 เพลง ผู้วิจัยเก็บข้อมูจากคลิปฝึกซ้อมการรําบวงสรวท้าวสุรนารีจำนวน2 คลิปที่เผยแพร่ผ่านช่องทางยทูป จัดทำโดย เหล่ากาชาจังหวัดนคราชสีมาโดยจะศึกษาจากเนือเพลงประกอบท่ารำที่ืสอสารอกาจากผู้ฝกซ้อมร จำนวน 2 ท่านสัญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาญหาสัญญะที่แสดงผ่านเนื้อเพลงเป็นการสื่อสารอำนาจของจังหวัดนครราชสีมาโดยแสดงศักยภาพของท้องถิ่นในทุกด้านต่าง ๆ นอกจากนั้นยังสะท้อนความผูกพันต่อพิธีกรรมรำบวงสรวงท้าวสุรนารีอย่างเหนียวแน่นทั้งนี้เพือแสดงความจงรักภักดีต่อวีรสตรีที่กอบกู้เมืองนคราชสีมาตามข้อมูทางประวัติศาสตร์ที่ถ่ายทอดผ่าน เนื้อเพลงเนืองในโอกาสสำคัญในแงส่ัญญะวิทยาคลิปการรำบวงสรวงที่สือสารความหมายโดยอรรถ(指称意义) และความหมายโดยนัย(内涵意义) ผ่านท่าทางต่าง ๆ ที่ปรากฏในรูแปบการรำ (舞蹈形式)มีความซับซ้อนน้อยไปจนถึงมากตามความซับซ้อนของแก่นของเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่บรรยายผ่านของเพลง โดยที่เนื้อเพลงและท่ารำมีความสัมพันธ์กับท่วงทำนองเพลงและองค์ประกอบของเพลง (Elements)สรุปผล:งานวจัยนี้เป็นแนวาทงในการพัฒนาองค์ความรู้ในการวิเคราห์การรำบวงสรวงท้าวสุรนารี้าดวยเรืองสัญญะวิทยาและเพือ่ประยุกต์ใช้ในการศึกษาสหาขาวิชอื่น ๆ ที่เกี่ยวขอ้งกับมิติทางสังคมและวัฒนธรรมของท้งอถิ่นต่อไป
{"title":"การวิเคราะห์สัญญะในการรำบวงสรวงท้าวสุรนารีเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองเมืองนครราชสีมา ครบรอบ 555 ปี","authors":"วชิรารัตน์ นิรันดร์เตชาภัทร์","doi":"10.60027/iarj.2024.275463","DOIUrl":"https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275463","url":null,"abstract":"ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การรำบวงสรวงท้าวสุรนารีเป็นสัญญะทางสังคมเพื่อแสดงพลังความศรัทธาของสตรี ชาวโคราช โดยกิจกรรมดังกล่าวมีกำหนดจัดงานในวันที่ 23 มีนาคมของทุกปี และในปี พ.ศ. 2566 ถือเป็นวาระพิเศษในการฉลองเมืองนครราชสีมา ครบรอบ 555 ปี ผู้จัดงานจึงมีการกำหนดให้มีนางรำบวงสรวง จำนวน 10,555 คน อีกทั้งยังคัดสรรเนื้อร้อง ท่ารำ ทำนองเพลงให้สอดคล้องกับการแสดงครั้งนี้ งานวิจัยเรื่อง “การวิเคราะห์สัญญะในการรำบวงสรวงท้าวสุรนารีเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองเมืองนครราชสีมา ครบรอบ 555 ปี” เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สัญญะและการประกอบสร้างความหมายเชิงสัญญะที่ปรากฏในการรําบวงสรวงท้าวสุรนารี (คุณหญิงโม)\u0000ระเบียบวิธีการวิจัย: เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ปี 2566 ทั้งหมด 7 เพลง ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากคลิปฝึกซ้อมการรําบวงสรวงท้าวสุรนารีจำนวน 2 คลิปที่เผยแพร่ผ่านช่องทางยูทูป จัดทำโดย เหล่ากาชาดจังหวัดนครราชสีมา โดยจะศึกษาจากเนื้อเพลงประกอบท่ารำที่สื่อสารออกมาจากผู้ฝึกซ้อมรำ จำนวน 2 ท่าน ซึ่งคลิปการแสดงนี้มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้นางรำฝึกซ้อมเองได้ตามความต้องการมีทั้งแบบที่เห็น ท่ารำด้านหลังและการฝึกซ้อมรำแบบเห็นด้านหน้าแบบกระจก\u0000ผลการวิจัย: สัญญะที่แสดงผ่านเนื้อเพลงเป็นการสื่อสารอำนาจของจังหวัดนครราชสีมาโดยแสดงศักยภาพของท้องถิ่นในทุกด้านต่าง ๆ นอกจากนั้นยังสะท้อนความผูกพันต่อพิธีกรรมรำบวงสรวงท้าวสุรนารีอย่างเหนียวแน่น ทั้งนี้เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อวีรสตรีที่กอบกู้เมืองนครราชสีมาตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ถ่ายทอดผ่าน เนื้อเพลงเนื่องในโอกาสสำคัญ ในแง่สัญญะวิทยาคลิปการรำบวงสรวงที่สื่อสารความหมายโดยอรรถ (Denotative Meaning) และความหมายโดยนัย (Connotative Meaning) ผ่านท่าทางต่าง ๆ ที่ปรากฏในรูปแบบการรำ (Dance Format) มีความซับซ้อนน้อยไปจนถึงมากตามความซับซ้อนของแก่นของเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่บรรยายผ่านของเพลง โดยที่เนื้อเพลงและท่ารำมีความสัมพันธ์กับท่วงทำนองเพลงและองค์ประกอบของเพลง (Elements)\u0000สรุปผล: งานวิจัยนี้เป็นแนวทางในการพัฒนาองค์ความรู้ในการวิเคราะห์การรำบวงสรวงท้าวสุรนารีว่าด้วยเรื่องสัญญะวิทยา และเพื่อประยุกต์ใช้ในการศึกษาสหสาขาวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมิติทางสังคมและวัฒนธรรมของท้องถิ่นต่อไป","PeriodicalId":505621,"journal":{"name":"Interdisciplinary Academic and Research Journal","volume":"216 3","pages":""},"PeriodicalIF":0.0,"publicationDate":"2024-04-08","publicationTypes":"Journal Article","fieldsOfStudy":null,"isOpenAccess":false,"openAccessPdf":"","citationCount":null,"resultStr":null,"platform":"Semanticscholar","paperid":"140731017","PeriodicalName":null,"FirstCategoryId":null,"ListUrlMain":null,"RegionNum":0,"RegionCategory":"","ArticlePicture":[],"TitleCN":null,"AbstractTextCN":null,"PMCID":"","EPubDate":null,"PubModel":null,"JCR":null,"JCRName":null,"Score":null,"Total":0}
引用次数: 0
期刊
Interdisciplinary Academic and Research Journal
全部 Acc. Chem. Res. ACS Applied Bio Materials ACS Appl. Electron. Mater. ACS Appl. Energy Mater. ACS Appl. Mater. Interfaces ACS Appl. Nano Mater. ACS Appl. Polym. Mater. ACS BIOMATER-SCI ENG ACS Catal. ACS Cent. Sci. ACS Chem. Biol. ACS Chemical Health & Safety ACS Chem. Neurosci. ACS Comb. Sci. ACS Earth Space Chem. ACS Energy Lett. ACS Infect. Dis. ACS Macro Lett. ACS Mater. Lett. ACS Med. Chem. Lett. ACS Nano ACS Omega ACS Photonics ACS Sens. ACS Sustainable Chem. Eng. ACS Synth. Biol. Anal. Chem. BIOCHEMISTRY-US Bioconjugate Chem. BIOMACROMOLECULES Chem. Res. Toxicol. Chem. Rev. Chem. Mater. CRYST GROWTH DES ENERG FUEL Environ. Sci. Technol. Environ. Sci. Technol. Lett. Eur. J. Inorg. Chem. IND ENG CHEM RES Inorg. Chem. J. Agric. Food. Chem. J. Chem. Eng. Data J. Chem. Educ. J. Chem. Inf. Model. J. Chem. Theory Comput. J. Med. Chem. J. Nat. Prod. J PROTEOME RES J. Am. Chem. Soc. LANGMUIR MACROMOLECULES Mol. Pharmaceutics Nano Lett. Org. Lett. ORG PROCESS RES DEV ORGANOMETALLICS J. Org. Chem. J. Phys. Chem. J. Phys. Chem. A J. Phys. Chem. B J. Phys. Chem. C J. Phys. Chem. Lett. Analyst Anal. Methods Biomater. Sci. Catal. Sci. Technol. Chem. Commun. Chem. Soc. Rev. CHEM EDUC RES PRACT CRYSTENGCOMM Dalton Trans. Energy Environ. Sci. ENVIRON SCI-NANO ENVIRON SCI-PROC IMP ENVIRON SCI-WAT RES Faraday Discuss. Food Funct. Green Chem. Inorg. Chem. Front. Integr. Biol. J. Anal. At. Spectrom. J. Mater. Chem. A J. Mater. Chem. B J. Mater. Chem. C Lab Chip Mater. Chem. Front. Mater. Horiz. MEDCHEMCOMM Metallomics Mol. Biosyst. Mol. Syst. Des. Eng. Nanoscale Nanoscale Horiz. Nat. Prod. Rep. New J. Chem. Org. Biomol. Chem. Org. Chem. Front. PHOTOCH PHOTOBIO SCI PCCP Polym. Chem.
×
引用
GB/T 7714-2015
复制
MLA
复制
APA
复制
导出至
BibTeX EndNote RefMan NoteFirst NoteExpress
×
0
微信
客服QQ
Book学术公众号 扫码关注我们
反馈
×
意见反馈
请填写您的意见或建议
请填写您的手机或邮箱
×
提示
您的信息不完整,为了账户安全,请先补充。
现在去补充
×
提示
您因"违规操作"
具体请查看互助需知
我知道了
×
提示
现在去查看 取消
×
提示
确定
Book学术官方微信
Book学术文献互助
Book学术文献互助群
群 号:481959085
Book学术
文献互助 智能选刊 最新文献 互助须知 联系我们:info@booksci.cn
Book学术提供免费学术资源搜索服务,方便国内外学者检索中英文文献。致力于提供最便捷和优质的服务体验。
Copyright © 2023 Book学术 All rights reserved.
ghs 京公网安备 11010802042870号 京ICP备2023020795号-1